ศาลย้ำเปลี่ยนผู้พิพากษาคดีฆ่าอัลรูไวลี่ถูกก.ม.

อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา แจงพักราชการผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนอุ้มฆ่านักธุรกิจซาอุฯถูกสอบวินัยร้ายแรง ย้ำเปลี่ยนตัวผู้พิพากษามากฎหมายรองรับ
นายธงชัย เสนามนตรี อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา แถลงถึงการเปลี่ยนองค์คณะพิพากษาคดี อัยการ ฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตจเรตำรวจ กับพวก รวม 5 คน คดีอุ้มฆ่านักธุรกิจซาอุดิอาระเบีย ภายหลังที่ศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งห้าวันนี้ ว่า คดีดังกล่าว นายสมศักดิ์ ผลส่ง ได้นั่งพิจารณาคดีร่วมกับองค์คณะ มาตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.54 จนสิ้นสุดการสืบพยานจำเลยนัดสุดท้ายในวันที่ 27 ธ.ค.56 โดยเหตุที่นายสมศักดิ์ ผลส่ง ไม่ได้เป็นผู้เขียนคำพิพากษา เนื่องจากตนได้แจ้งพักราชการภายหลังที่นายดิเรก อิงคนินันท์ ประธานศาลฎีกา ได้เซ็นคำสั่งให้พักราชการนายสมศักดิ์เมื่อวันที่ 6 ม.ค.57 จากกรณีที่คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.)ได้ไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วมีมูลว่า นายสมศักดิ์ จะมีความผิดร้ายแรง กรณีเมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลสระบุรี ในการพิจารณาเรื่องปล่อยชั่วคราวที่ไม่เป็นไปตามระเบียบศาลยุติธรรม ซึ่งได้แจ้งคำสั่งพักราชการดังกล่าวให้นายสมศักดิ์ทราบโดยมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงด้วย ต่อมาวันที่ 7 ม.ค.57 ตนจึงมีคำสั่งว่าระหว่างการทำคำพิพากษาคดีนี้มีเหตุที่ไม่อาจก้าวล่วงได้ทำให้นายสมศักดิ์ ผลส่ง องค์คณะในคดีไม่อาจทำคำพิพากษาต่อไปได้ จึงให้นายภชฤทธิ์ นิลสนิท ซึ่งเดิมร่วมเป็นองค์คณะนี้อยู่แล้ว ให้มาเป็นเจ้าของสำนวน และมีคำสั่งให้นายรุ่งศักดิ์ วงศ์กระสันต์ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ร่วมเป็นองค์คณะและมีอำนาจลงชื่อทำคำพิพากษาได้ตามบทบัญญัติพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 29(3) ดังนั้นเมื่อนายสมศักดิ์ ถูกพักราชการแล้ว จึงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ราชการต่อไปได้ รวมทั้งการเขียนคำพิพากษาด้วย โดยไม่ใช่แค่คดีนี้ แต่มีคดีอื่นอีก 2-3 เรื่องด้วยที่นายสมศักดิ์ ไม่อาจเขียนคำพิพากษาได้
นายธงชัย อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวด้วยว่า แม้ว่าระหว่างการพิจารณา พล.ต.ท.สมคิด จำเลยที่1 และ พ.ต.ท.สุรเดช อุดมดี จำเลยที่ 4 จะเคยยื่นคำร้องขอต่อศาลอาญาคัดค้านนายสมศักดิ์ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน โดยอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะใช้ดุลยพินิจส่งประเด็นสืบพยานคดีนี้ในต่างประเทศไม่ชอบนั้น ตนก็เคยมีคำสั่งไปแล้วให้ยกคำร้องของจำเลย เพราะเห็นว่า การจะเปลี่ยนผู้พิพากษา หรือโอนสำนวน จะต้องเป็นไปตามกฎหมายในกรณีที่กระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม แต่การที่นายสมศักดิ์ สั่งให้ส่งประเด็นไปสืบ พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก ในต่างประเทศนั้น เป็นการใช้ดุลพินิจที่ถูกต้องตามกฎหมายและสามารถทำได้ โดยการที่จะยื่นคัดค้านผู้พิพากษานั้นก็ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 11-13 และประมวลวิธีพิจารณาความอาญา คือต้องเข้าเงื่อนไขที่ยื่นคัดค้านหรือเปลี่ยนตัวผู้พิพากษาได้
"ทุกสิ่งทุกอย่างต้องว่ากันไปตามกฎหมาย ผมเข้าใจดีถึงความเสียหายของญาติคนตายที่ต้องมาเสียชีวิตในประเทศไทย แต่การดำเนินการของศาลเราต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานที่ปรากฎในสำนวน ขอเรียนว่าการเปลี่ยนสำนวนผู้พิพากษา เพราะท่านถูกพักราชการที่เกิดจากการกระทำที่เกิดก่อนท่านจะมาปฏิบัติหน้าที่ในศาลอาญา ซึ่งการดำเนินการต่างๆ เป็นไปตาม ก.ต.และประธานศาลฎีกาเป็นผู้สั่ง ไม่ใช่มีอะไรที่จะเป็นข้อน่าพิรุธ สงสัยที่จะแสดงให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมศาลไทยมีข้อผิดพลาด หรือเจตนาที่จะให้เกิดการช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น"นายธงชัย อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวย้ำ และว่า
อยากให้อุปทูตซาอุฯ และทุกฝ่ายเข้าใจ ส่วนคดีก็ยังสามารถใช้สิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ - ฎีกาได้ และหากรัฐบาล หรือ กระทรวงการต่างประเทศต้องการขอรายละเอียดคำพิพากษา ศาลอาญาก็ยินดีให้ไปศึกษา
เมื่อถามว่า เหตุการณ์คดีนี้ ผ่านมาเป็นระยะเวลากว่า 24 ปีแล้วต้องใช้ประจักษ์พยานเพียงใด ศาลถึงจะรับฟังได้ นายธงชัย อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวว่า แม้คดีที่ฟ้อง จะนานเกือบขาดอายุความ 20 ปี ศาลต้องฟังพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นยาวนานให้ชัดเจน แต่คดีนี้ไม่มีประจักษ์พยาน หลักฐานชิ้นใดเลย ที่จะฟังได้อย่างปราศจากข้อสงสัยโดยเฉพาะเรื่องแหวนก็ไม่มีใครยืนยันจึงต้องยกฟ้อง ตนเข้าใจว่าญาติผู้ตาย ต้องเสียใจแต่การพิจารณาของศาลจะต้องชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานตามที่ปรากฏในสำนวน
เมื่อถามว่า คำพิพากษาที่ออกมาจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือไม่ นายธงชัย กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศมีเอกราช ขณะที่การสืบพยานเสร็จ จนถึงการมีคำพิพากษาก็เป็นไปตามกฎหมายไทย ซึ่งโทษอาญาคดีนี้ หนักถึงประหารชีวิต การพิจารณาคดีจะต้องมีพยานหลักฐานชัดเจนปราศจากข้อสงสัย อย่างไรก็ดีตนเชื่อว่า ด้วยเหตุผลที่ปรากฏตามคำพิพากษา อุปทูตซาอุฯ จะเข้าใจ ซึ่งเรื่องการเปลี่ยนตัวผู้พิพากษาก็ได้มีการบันทึกไว้ในสำนวนคดีแล้ว โดยทนายความและโจทก์ร่วมก็สามารถไปดูบันทึกในสำนวนได้ และไม่ใช่หน้าที่ของศาลที่จะต้องไปชี้แจงให้คู่ความรับทราบ เนื่องจากคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
ส่วนกรณีที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ปฏิบัติหน้าที่ รมว.ต่างประเทศ ระบุว่าผลของคำพิพากษาในคดีนี้น่าจะเป็นการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ซาอุฯ ถือว่าเป็นแรงกดดันจากฝั่งการเมืองหรือไม่ นายธงชัย อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวว่า คดีนี้ไม่มีความกดดันจากทางการเมืองแต่อย่างใด ไม่ว่าจะใครจะพูดอะไรก็พูดไป ไม่ได้กดดันทั้งนั้น และหากทางกระทรวงการต่างประเทศจะขอสำนวนคำพิพากษาทางเราก็พร้อมที่จะดำเนินการให้
นอกจากนี้ นายธงชัย ยังกล่าวถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของศาลที่ล่าช้า ในเรื่องการไต่สวนเพิกถอนประกัน แกนนำกลุ่ม นปช.และกลุ่มพันธมิตรฯ ในสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คด้วยว่า ที่ศาลใช้เวลานัดนานกว่า 2 เดือนนั้น เนื่องจากต้องมีการส่งหมายศาลไปถึงจำเลยในคดีจำนวนหลายคนจึงต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งตนยืนยันว่าไม่ได้มีการใช้ 2 มาตรฐานแต่อย่างใด ส่วนกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถ้าไม่ใช้คำพูดที่รุนแรงอะไร ก็คงจะไม่ถึงจะต้องดำเนินการทางกฎหมาย แต่ขอให้คนที่วิพากษ์วิจารณ์นั้นตั้งอยู่ในหลักข้อเท็จจริง







