เปิดปูมบ่อขยะสมุทรปราการ

เปิดปูมบ่อขยะสมุทรปราการ ผลประโยชน์บนภัยเงียบของชุมชน
ผ่านไป 4 วันหลังเกิดเหตุเพลิงไหม้บ่อขยะในซอยแพรกษา 8 นิคมอุตสาหกรรมบางปู หมู่ 4 ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ทำให้เกิดกลุ่มควันหนาปนเปื้อนสารพิษกระจายครอบคลุมพื้นที่หลายกิโลเมตร จนผู้ว่าราชการจังหวัดต้องประกาศเป็นพื้นที่ภัยภิบัติ ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามระดมสรรพกำลังและเครื่องมือเข้าไปดับไฟ แม้สถานการณ์โดยรวมจะดูดีขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่ามลพิษในอากาศและน้ำ (ที่ไหลจากบ่อขยะ) จะหายไปง่ายๆ
ย้อนกลับไปดูเหตุการณ์เพลิงไหม้บ่อขยะในพื้นที่ ต.แพรกษา ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเมื่อเดือน เม.ย.51 ก็มีเหตุเพลิงไหม้กับบ่อขยะของ บริษัท ต.แสงชัยปากน้ำ จำกัด ตั้งอยู่ในซอยแพรกษา 11 ใกล้กับที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แพรกษาใหม่มาแล้ว ครั้งนั้นทำให้เกิดควันพิษปกคลุมอยู่ถึง 5 วัน และฟุ้งไปไกลจนถึงถนนบางนา-ตราด เขตบางนา กรุงเทพมหานคร ส่งผลให้ประชาชนเดือดร้อนและก่อผลกระทบต่อสุขภาวะเป็นอย่างมาก
หลังเกิดเหตุในครั้งนั้น มีความพยายามของผู้ว่าราชการจังหวัดเปิดเจรจากับเจ้าของบ่อขยะ ให้เปลี่ยนจากวิธีการฝังกลบ มาเป็นใช้เตาเผาแทน แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง และเรื่องทั้งหมดก็เงียบหายไป จนมาเกิดเหตุซ้ำรอยขึ้นอีกครั้งในวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา
เมื่อตรวจสอบประวัติของบ่อขยะทั้ง 2 บ่อ (คือบ่อที่เคยเกิดเพลิงไหม้เมื่อปี 51 กับที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้เมื่อ 16 มี.ค.57) พบว่าเจ้าของธุรกิจบ่อขยะเป็นเครือญาติกัน ทั้งยังเป็นเจ้าของกิจการค้าที่ดินและรับเหมาก่อสร้างลำดับต้นๆ ของ จ.สมุทรปราการ ด้วย โดย นางบุญไทย ตั้งเด่นชัย เป็นเจ้าของบ่อขยะที่เกิดเพลิงไหม้รอบนี้ ขณะที่น้องชายของนาง เป็นเจ้าของบ่อขยะ บริษัท ต.แสงชัยปากน้ำ จำกัด
บ่อขยะทั้ง 2 แห่งตั้งอยู่ห่างกันไม่ถึง 4 กิโลเมตร ระหว่างทางมีชุมชนขนาดใหญ่และโครงการบ้านจัดสรรขึ้นอยู่หลายโครงการ ที่ผ่านมาบ่อขยะทั้ง 2 แห่งก่อปัญหามลภาวะทางกลิ่นให้กับชุมชนต่างๆ มาโดยตลอด แม้จะมีการร้องเรียนไปยัง อบต. แต่เรื่องก็มักเงียบหายไปโดยไม่มีการแก้ไขใดๆ
ต้องยอมรับ "ธุรกิจบ่อขยะ" หรือธุรกิจเกี่ยวกับขยะที่ใครๆ ก็รังเกียจนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นธุรกิจที่มีผลประโยชน์สูงมาก เพราะขยะมีแต่เพิ่ม ไม่มีลด ตามขนาดของชุมชนที่มีแต่จะขยายตัว แต่เมื่อไม่มีระบบบริหารจัดการขยะที่ทันสมัย ไม่ทำลายสุขภาวะ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การว่าจ้าง "ฝังกลบ" จึงเป็นคำตอบเดียวของการกำจัดขยะในปัจจุบัน
จากการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการขยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แห่งหนึ่ง พบว่า จ.สมุทรปราการ มีเขตปกครองทั้งหมด 6 อำเภอ 18 เทศบาล 30 อบต. ต้องนำขยะทั้งหมดไปทิ้งที่บ่อขยะของ บริษัท ต.แสงชัยปากน้ำ เพียงแห่งเดียวเท่านั้น โดยที่จำนวนบ่อขยะในจังหวัดมีทั้งสิ้น 3 บ่อ ได้แก่ บ่อที่วัดชังเรือง ใน อ.พระสมุทรเจดีย์ 1 บ่อ และใน ต.แพรกษา อีก 2 บ่อ
อย่างไรก็ดี บ่อขยะที่วัดชังเรือง ปัจจุบันได้ปิดกิจการไปแล้ว และปรับปรุงพื้นที่กลายเป็นหมู่บ้านจัดสรร จึงเหลือบ่อขยะที่ยังใช้งานอยู่จริงคือในพื้นที่ ต.แพรกษา เท่านั้น
แหล่งข่าวจากพนักงาน อปท.ที่ทำงานเกี่ยวกับขยะมูลฝอย เล่าให้ฟังว่า เจ้าของกิจการบ่อขยะส่วนใหญ่เป็นผู้กว้างขวางในระดับท้องถิ่น หรือมีธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการรับเหมาที่ดินอยู่แล้ว การทำบ่อขยะคือการต่อยอดหรือหากำไรจากที่ดินในครอบครองของตนนั่นเอง
"วิธีการก็คือเมื่อมีที่ดินจำนวนมาก ก็ทำธุรกิจขุดหน้าดินขาย ซึ่งไม่ใช่การขุดแค่ 10-15 เมตร แต่อาจจะขุดลึกถึง 40-50 เมตร เมื่อได้กำไรจากหน้าดินที่ขายไป และที่ดินกลายเป็นบ่อลึก เจ้าของที่ดินก็จัดการเปิดเป็นบ่อขยะเอง หรือให้เจ้าอื่นมาเช่าพื้นที่ทำบ่อขยะ ทำสัญญากำหนดกันกี่ปีๆ ก็ว่าไป ระหว่างนั้นก็ได้กำไรจากค่าเช่า หรือค่าธรรมเนียมที่เก็บจาก อปท.หรือหน่วยงานที่นำขยะมาทิ้ง ถือเป็นรายได้ทอดที่สอง"
"กระทั่งเมื่อได้ขยะเต็มพื้นที่ตามต้องการ ก็ปิดกิจการบ่อขยะ เกลี่ยหน้าดินใหม่เล็กน้อย แล้วขายที่ดินทำกำไรทอดที่ 3 อาจจะขายให้บริษัททำบ้านจัดสรร โดยบ่อขยะซอยวัดชังเรือง ข้าราชการท้องถิ่นซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน ทำแบบนี้เป๊ะเลย"
ไม่เพียงแค่ที่ดินที่ทำเป็นบ่อขยะเท่านั้นที่สร้างมูลค่า แต่ตัวขยะเองก็ทำกำไรได้เช่นกัน แหล่งข่าวจากวงการค้าขยะ กล่าวว่า ผลประโยชน์อย่างแรกคือการคัดแยกขยะ เพื่อนำขยะที่สามารถขายได้ออกจากขยะที่ต้องทิ้งจริงๆ เช่น ขวดน้ำทั้งพลาสติกและแก้ว กระดาษชนิดลัง กระดาษที่เป็นเอกสารต่างๆ เฉพาะขวดน้ำใส ขายได้กิโลกรัมละ 6 บาท บางรายแค่แยกขยะขายอย่างเดียว มีรายได้ถึง 2 หมื่นบาทต่อเดือน ยังไม่นับรวมการได้รับเงินจากการฝากทิ้งขยะพิเศษ เช่น วัดต่างๆ เวลามีงานศพ โดยมากจะเป็นพวกพวงหวีดที่เจ้าภาพทิ้ง หรือขยะร้านรับจัดโต๊ะจีน เป็นต้น
"พวกขยะจากวัดนี้ จะได้เงินเป็นเงินพิเศษต่างหากเลย เพราะเราต้องเอารถขยะเข้าไปเก็บบริเวณเมรุหรือศาลา อาจจะได้ครั้ง 200-300 บาทแล้วแต่ปริมาณขยะ แต่ยืนพื้นแน่ๆ ครั้งละ 200 บาท แล้วก็จะมีพวกเศษอาหารที่พวกร้านโต๊ะจีนฝากไปทิ้งก็จะได้อีกเช่นกัน" แหล่งข่าวอธิบาย
คำถามคือ เจ้าของบ่อขยะได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับขยะด้วยหรือไม่ คำตอบคือ "มี" เช่นที่เกาะบางกระเจ้า อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ บนเกาะแห่งนี้มีอยู่ด้วยกัน 6 ตำบล ทุกตำบลนำขยะที่ทิ้งที่บ่อของ บริษัท ต.แสงชัยปากน้ำ แต่เมื่อรถเก็บขยะไปถึง ไม่สามารถทิ้งได้เลย ต้องชั่งน้ำหนักขยะที่ด่านชั่งของบ่อขยะก่อน เพื่อคิดค่าธรรมเนียมในการทิ้งขยะ อัตราจะอยู่ที่ 350 บาทต่อ 1 ตัน
แหล่งข่าวซึ่งทำงานใน อบต.แห่งหนึ่งของ อ.พระประแดง ให้ข้อมูลงว่า รับหน้าที่เก็บขยะทุกวันตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ ต้องเสียค่าทิ้งขยะเดือนละ 3 หมื่นบาทขึ้นไป ซึ่งทาง อบต.เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ และการนำขยะไปทิ้งที่บ่อแพรกษา ก็ทำมาตลอด 4 ปีแล้วตั้งแต่บ่อขยะวัดชังเรืองปิดตัว
หากคำนวณปริมาณขยะใน 1 เดือนของพื้นที่ตำบล 1 ตำบล โดยคำนวณจากค่าทิ้งขยะ 3 หมื่นบาท นั่นหมายความว่าแค่เพียงตำบลเล็กๆ ตำบลเดียว มีปริมาณขยะมากถึง 85 ตันต่อเดือน หากรวมทั้ง 6 ตำบล ปริมาณขยะจะอยู่ที่ประมาณ 500 ตันขึ้นไป และขยะทั้งหมดถูกนำไปทิ้งที่บ่อขยะในพื้นที่ ต.แพรกษา เพียงแห่งเดียว!
กลุ่มคนที่หาประโยชน์จากบ่อขยะอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มธุรกิจค้าของเก่า ทั้งที่เข้าไปเก็บในบ่อขยะ และที่เปิดร้านรับซื้ออยู่ไม่ไกลจากบ่อขยะ โดยที่คนหาขยะจะเข้าไปคุ้ยตามกองขยะในบ่อ เพื่อหาขวดหรือพลาสติกที่มีราคา แล้วนำไปขายต่อยังร้านรับซื้อ ซึ่งแม้จะเสี่ยงกับสารเคมี เพราะมีโรงงานอุตสาหกรรมนำขยะมาทิ้งด้วย แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยพร้อมที่จะเสี่ยง
ทั้งหมดนี้คือผลประโยชน์ที่ซุกอยู่ใต้กองขยะ และน่าจะเป็นคำตอบได้ว่าเหตุใดบ่อขยะจำนวนไม่น้อยในประเทศนี้จึงเปิดอยู่ได้ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้ชุมชน และไม่มีการจัดการด้านระบบนิเวศน์หรือสิ่งแวดล้อมใดๆ เลย







