เหตุปะทะหลักสี่ถึงผ่านฟ้าฯบท(ต้อง)เรียน

เหตุปะทะ หลักสี่ ถึง ผ่านฟ้าฯบท (ต้อง) เรียนที่มากกว่านับศพ
การใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถนนราชดำเนิน เมื่อวันที่ 18 ก.พ.57 จนเป็นเหตุให้ทั้งกลุ่มผู้ชุมนุมและตำรวจชุดควบคุมฝูงชนเสียชีวิตรวมกันถึง 5 คน และได้รับบาดเจ็บกว่า 70 คนนั้น เป็นสิ่งที่ต้องประณาม ไม่ว่าผู้ใช้ความรุนแรงหรือผู้ที่อยู่เบื้องหลังจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม
ที่สำคัญภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับทั้งฝ่ายตำรวจและกลุ่มผู้ชุมนุม ต้องไม่ปล่อยให้ผ่านเลยไป และยิ่งต้องนำไปเทียบเคียงกับการใช้ความรุนแรงในปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) กับกลุ่มคนเสื้อแดง จ.ปทุมธานี ที่เกิดการเผชิญหน้ากันบริเวณแยกหลักสี่ เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ด้วย
เหตุการณ์ครั้งนั้นตำรวจระบุว่าทั้งสองฝ่ายมีการใช้อาวุธ ทั้งปืนพกและอาวุธสงคราม 7 ชนิด ถูกนำมาใช้ยิงใส่กันจนเป็นร่องรอยกระสุนถึง 48 รอย ในเหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ 7 คน โดยหนึ่งในเหยื่อของการใช้ความรุนแรงครั้งนั้น คือ นายอะแกว แซ่ลิ้ว อายุ 72 ปี ถูกกระสุนปริศนาเข้าที่คอ อาการสาหัส
ปฏิกิริยาต่อต้านการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นทันที โดย สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ (UN Office of High Commissioner for Human Rights - UNOHCHR) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แสดงความกังวลต่อกรณีการเผชิญหน้ากันด้วยอาวุธในครั้งนั้น
"มีกังวลเป็นอย่างมากที่เห็นบุคคลบางส่วนในที่พื้นที่ชุมนุมมีอาวุธ รวมถึงอาวุธปืน ขณะเดียวกันระเบิดและปืนได้ถูกใช้ต่อกลุ่มผู้ชุมนุมโดยผู้ก่อเหตุไม่ทราบฝ่าย จึงมีความกังวลอย่างสูงว่าสถานการณ์ปัจจุบันสามารถแพร่ขยายไปสู่ความรุนแรงที่ร้ายแรงและการเผชิญหน้ากันด้วยอาวุธ" แถลงการณ์ระบุตอนหนึ่ง พร้อมกับเรียกร้องให้ทุกฝ่ายละเว้นการพกพาอาวุธหรือใช้ความรุนแรง
สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนฯยังเรียกร้องให้รัฐบาลสืบสวนและดำเนินการหาผู้รับผิดชอบต่อกรณีเหตุรุนแรง และขอทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ รวมทั้งย้ำถึงหลักการเคารพสิทธิมนุษยชนของผู้อื่น
ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์รุนแรงที่หลักสี่ไม่ได้สะท้อนภาพการใช้ความรุนแรงที่ดำรงอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองของไทยอย่างแจ่มชัดเพียงด้านเดียว แต่ยังสะท้อนปัญหาในแง่มุมอื่นๆ ของสังคมไทยในอีกหลายแง่มุมด้วย
โสภณ จริงจิตร ผู้ตรวจการสิทธิมนุษยชน สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เห็นว่า เหตุการณ์ใช้ความรุนแรงและการยิงปะทะระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่ายที่บริเวณแยกหลักสี่ สะท้อนปัญหาสำคัญของสังคมไทยได้ 4 ประการ คือ 1.เรื่องสิทธิมนุษยชน เกี่ยวกับการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกันและกันระหว่างคนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน กระทั่งดูเหมือนว่าทุกฝ่ายพร้อมที่จะละเมิดสิทธิของกันและกัน มองคนอื่นที่เห็นต่างเป็นฝ่ายตรงข้ามที่จะต้องห้ำหั่นให้แหลกไปข้างหนึ่ง
2.ความบกพร่องของกระบวนการยุติธรรมในการบังคับใช้กฎหมาย และการที่เจ้าหน้าที่รัฐบางคนละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา กระทั่งมีการวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วไปไม่ว่าจะในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งส่งผลหรือเป็นเงื่อนไขให้มีการใช้ความรุนแรงของทั้งสองฝ่าย เพราะหวังพึ่งกลไกรัฐไม่ได้แล้วจึงต้องออกมาจัดการกันเอง
3.บทบาทขององค์กรที่เป็นสถาบันหลักของสังคม ไม่ว่าจะเป็นองค์กรทางศาสนาหรือสถาบันการศึกษา และสถาบันอื่นๆ มีความอ่อนแอ ไม่อาจชี้ทางหรือนำพาสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไป ซึ่งความอ่อนแออาจเกิดจากสถาบันนั้นๆ เอง หรือจากการโจมตีโดยกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองขนาดหนักต่อเนื่องมานานนับทศวรรษ สังคมไทยจึงตกอยู่ในสภาพที่ไม่มีใครฟังใคร ยกเว้นพวกเดียวกัน
และ 4.การสื่อสารที่ผู้คนเลือกที่จะสื่อสารกับกลุ่มเดียวกันแบบสุดโต่ง กระทั่งปฏิเสธที่จะสื่อสารกับคนกลุ่มอื่น ซึ่งนำไปสู่การรับข้อมูลข่าวสารจากสื่อข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียว ส่งผลให้มองปัญหาเพียงด้านเดียว เลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อโดยไม่ใช้การกลั่นกรองหรือพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบ ในที่สุดก็จะถูกชี้นำทางความคิดการเมืองและการกระทำ
"ปัญหานี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ 6 ตุลาฯ 2519 กรณีวิทยุยานเกราะ และปัจจุบันดูเหมือนว่าจะรุนแรงมากขึ้น เมื่อแต่ละฝ่ายก็มีวิทยุ ทีวีเป็นของตนเอง ผนวกกับการเลือกเสพข้อมูลจากเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่เป็นแบบพวกใครพวกมัน กระทั่ง นายอาแกว แซ่ลิ้ว ที่บาดเจ็บในเหตุการณ์นี้กลายเป็นนักรบต่างชาติไปในพริบตา สิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากคือการชี้นำของสื่อประเภทนี้มักมีคนเชื่อและทำตาม"
ส่วนมุมมองของนักวิชาการด้านความมั่นคงอย่าง สุรชาติ บำรุงสุข จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นว่า แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องดี เพราะเป็นโมเดลการใช้อาวุธสงคราม ซึ่งหากคู่กรณีทั้งสองฝ่ายจับอาวุธขึ้นมาต่อสู้กัน ความขัดแย้งโดยใช้กำลังก็จะยิ่งขยายวงความขัดแย้ง ขยายพื้นที่ และขยายบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องออกไปอีก อันจะทำให้ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่หลักสี่หากมองในมุมกลับก็อาจส่งผลดีเช่นกัน เพราะทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเกิดความยับยั้งชั่งใจ
"ผลสะวิงเป็นบวกก็มี เพราะทำให้หลายคนคิดได้ว่าถ้าปล่อยให้เดินต่อไปมากกว่านี้ จะคุมกันไม่อยู่ แล้วจะยุ่งมากถ้าเกิดคุมไม่อยู่จริงๆ" อาจารย์สุรชาติ กล่าว
เมื่อมาถึงเหตุการณ์ปะทะที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เมื่อวันที่ 18 ก.พ. ซึ่งมีการใช้อาวุธร้ายแรงต่อกัน จนทำให้มีตำรวจและกลุ่มผู้ชุมนุมเสียชีวิตถึง 5 รายและบาดเจ็บถึง 68 รายนั้น ก็มีนักวิชาการด้านสันติวิธี แสดงความคิดเห็นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้อย่างน่าสนใจ
โคทม อารียา จากสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ชี้ว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนให้กับทั้งฝ่ายผู้ชุมนุมและตำรวจที่ต้องนำกลับไปทบทวน ไม่ว่าหลังจากนี้สถานการณ์จะรุนแรงขึ้นหรือไม่อย่างไร แต่ทั้งสองฝ่ายสามารถยุติความรุนแรงได้ ด้วยการแสดงจุดยืนต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น และไม่นำประเด็นการเสียชีวิตหรือบาดเจ็บไปสร้างความเจ็บแค้นซึ่งกันและกัน
ขณะที่ สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองไปที่ข้อบกพร่องในปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า รัฐบาลไม่ได้แยกแยะบทบาทที่เหมาะสม เพราะด้านหนึ่งส่งคนไปเจรจาเพื่อขอให้เปิดพื้นที่ แต่อีกด้านกลับส่งคนอีกกลุ่มไปรุกราน และมีเครื่องแบบเหมือนกับการไปรบในสงคราม ซึ่งถือว่าไม่เหมาะสม
"สิ่งที่จะลดความรุนแรงโดยหลักปฏิบัติต้องมีขั้นตอนการดูแลผู้ชุมนุม มีขั้นตอนการพูดจา สร้างระบบติดต่อที่มีความไว้วางใจ และอย่าใช้การยั่วยุ"
แม้ว่าเหตุปะทะที่แยกหลักสี่กับเหตุปะทะที่สะพานผ่านฟ้าฯจะมีบริบทที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นสภาพเหตุการณ์ พื้นที่ กลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง และอาวุธที่ใช้ แต่บทเรียนจากทั้งสองเหตุการณ์คงทำให้สังคมไทยได้เรียนรู้เพื่อจะออกจากวังวนหรือหลุมพรางแห่งความรุนแรงเสียที







