สาธิต เซกัล:ผมจะอยู่ที่นี่จนตาย

"คิดเสมอว่าพวกเราชาวภารตะที่อพยพมาแผ่นดินไทยจะต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน"สาธิต เซกัล เปิดใจ"กรุงเทพธุรกิจทีวี"
นายสาธิต เซกัล อายุ 70 ปี นายกสมาคมนักธุรกิจอินเดีย-ไทย หนึ่งในกรรมการ กปปส.เป็นบุคคลที่โดดเด่นขึ้นมาเป็นข่าวที่น่าสนใจ เพราะถูกศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ประกาศเตรียมออกคำสั่งเนรเทศออกนอกราชอาณาจักร โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
นายสาทิต ได้เปิดใจกับ "กรุงเทพธุรกิจทีวี" ในรายการบิซิเนสทอร์ค เล่าถึงอัตชีวิตที่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย จนถึงปัจจุบัน มีเนื้อหาที่น่าสนใจดังนี้
"ครอบครัวผมอพยพมาจากประเทศอินเดียตั้งแต่ปี ค.ศ.932 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งแต่ประเทศไทยยังเรียกว่าสยาม ลุงผมเดินทางเข้าประเทศไทยกับเพื่อนๆ สามสี่คน ตอนมาก็มีเสื้อผ้าอยู่สองชุดเดินทางเรือปีนังและนั่งรถไฟต่อมา เข้ามาหางานเล็กๆ น้อยๆ ทำพอสร้างตัวได้ก็เปิดร้านขายผ้า นำผ้าจากต่างประเทศเข้ามา เมื่อก่อนไทยไม่ได้ผลิตผ้าต้องสั่งนำเข้ามา
ของผมเดิมอยู่ราชวงศ์ ต่อมาย้ายไปสำเพ็ง กิจการไปได้ดีก็ขยายสาขาไปเปิดร้านที่อุบลราชธานี และอุดรธานี คุณพ่อเดินทางมาประเทศไทยตั้งแต่อายุ 16 ปี เขาเป็นคนที่มีการศึกษาน้อยจึงทำให้เห็นคุณค่าการศึกษาของลูกๆ จึงส่งผมกับพี่น้องทั้งหมด 4 คน เรียนหนังสือ
ส่วนตัวเข้ามาอยู่ประเทศไทยตอนอายุ 5 ขวบ ผมเกิดที่ประเทศอินเดีย เนื่องจากว่าพ่อแม่ผมแต่งงานกันที่ประเทศอินเดีย ช่วงนั้นเกิดสงครามโลกพอดีจึงติดอยู่ที่อินเดีย พอสงครามจบพ่อแม่ก็ย้ายมาอยู่ไทย มาช่วยธุรกิจของลุง ตั้งแต่นั้นมาก็อยู่ประเทศไทยมาตลอด ผมมีน้อง 3 คน 2 คนเกิดในไทย ส่วนอีกคนเกิดที่อินเดีย แต่ตอนนี้โอนสัญชาติเป็นไทยแล้ว เหลือผมคนเดียวที่ยังถือพาสปอร์ตอินเดีย
ถึงผมจะสัญชาติอินเดียแต่พฤติกรรม จิตสำนึกผมก็รักประเทศไทย เพราะคิดเสมอว่าพวกเราชาวภารตะที่อพยพมาแผ่นดินไทยจะต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน เมื่อลุงทำธุรกิจเติบโตแล้วก็นำครอบครัวทั้งหมดมาประเทศไทย คุณลุงก็อยู่ประเทศไทยตลอด ครอบครัวตอนนี้มีสมาชิกเป็นร้อยคน ทั้งหมดก็ถือสัญชาติไทยแล้ว ครอบครัวผมก็เป็นไทย ญาติๆ บางคนพูดภาษาอินเดียไม่ได้เพราะเกิดที่ไทย คุณลุงผมเป็นผู้นำชาวอินเดียในประเทศไทย มีบทบาทด้านสังคมสงเคราะห์ คุณลุงผมสั่งสอนเสมอว่าอย่าลืมบุญคุณของแผ่นดินนี้
ด้านการศึกษาผมจบเกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้านภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยเดลี เมื่อกลับมาประเทศไทยก็ไม่ค่อยสนใจทำธุรกิจของครอบครัวเลยหันไปทำงานอื่น ช่วงแรกขายเอ็นไซโคบีเดีย วันหนึ่งเข้าไปขายหนังสือให้ผู้บริหารระดับสูงของบางกอกโพสต์ชาวอังกฤษ
ระหว่างอธิบายคุณแรกเฟิร์ด ถามว่าผมอยากให้คุณมาทำงานที่นี่ ผมเอกภาษาอังกฤษ งานที่จะให้ทำไม่เกี่ยวกับข่าวแต่ให้ทำการตลาด เพราะเชื่อว่าคุณมีความสามารถทางการสื่อสาร พูดเก่ง ผ่านเลขาฯ เขาเข้ามาได้ก็น่าจะมีความสามารถด้านนี้
ก็ได้ทำงานขายโฆษณา ทำอยู่ 6 เดือนได้เลื่อนตำแหน่ง อายุ 21 ปี เป็นรองผู้จัดการ หลังจากนั้นไม่นานก็ได้เป็นผู้จัดการดูแลด้านการตลาดทั้งหมดให้บางกอกโพสต์ ทำงานมาได้สิบปี ระหว่างนั้นก็ได้จัดคอนเสิร์ตเชิญดาราชาวอินเดียดังมากสมัยนั้นจากฮอลลีวู้ด ชื่อ อาชา ปาเรส เชิญมาที่โรงละครแห่งชาติ หาเงินได้ 200,000 บาท ปี 1970 สมัยนั้นรถเบนซ์ราคาแสนเดียว
ผมนำเงินสองแสนบริจาคให้โรงพยาบาลพระยุพราช ก็ต้องการตอบแทนคุณแผ่นดินไทย กิจกรรมและการมีส่วนร่วมมีมานาน 40 กว่าปีแล้ว หลังจากนั้นก็ทำกิจกรรมต่างๆ ก็จะทำสติ๊กเกอร์ รีสแบนเรารักในหลวง งานไหนๆมีการประชุมที่ไหนหรือชุมนุมที่ไหนก็จะไปแจกให้ ทำมาตลอด
ปัจจุบันมีโครงการที่เริ่มแล้วจัดทำพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 1 ล้านฉบับใส่กรอบ ระดมทุนจากเพื่อนๆ มาทำเพื่อจะนำไปแจกทั่วประเทศ จำนวนหนึ่งล้านไม่พอใน จะไปเริ่มแจกที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ประเด็นสำคัญอยากให้ประชาชนรู้ว่าประเทศไทยไม่ได้ตกเป็นอาณานิคมตะวันตกจักรวรรดินิยม เพราะวิสัยทัศน์พระมหากษัตริย์ สถาบันนี้มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์ไทย
ผมอยากจะปลูกจิตสำนึกในพี่น้องชาวไทยให้รู้ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ดูแลทุกข์สุขราษฎร ต้องปกป้อง เทิดทูน แต่ระยะหลังมีการจาบจ้วงสถาบัน ท่านจะรักไม่รักสุดแล้วแต่ๆอย่ามาจาบจ้วง ตรงนี้ผมรับไม่ได้และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเข้าร่วมชุมนุมด้วย
ผมไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่รู้จักผู้นำทุกพรรค แม้กระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เคยไปช่วยงานที่อินเดียในนามประเทศไทยถึง 2 ครั้ง ไปในนามประเทศไทย
ผมตั้งใจเป็นกรรมการราชกรีฑาสโมสร กรรมการมีโควตาว่ากรรมการประกอบด้วยหลากหลายสัญชาติ แต่ละสัญชาติไม่เกิน 4 คน ทั้งหมด 12 คน ก็เลยมาสมัครในนามโควตาชาวอินเดีย นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม่ได้โอนสัญชาติ ทุกวันนี้ไม่ได้เป็นแล้วหลังจากเป็นกรรมการมา 18 ปี หากโอนสัญชาติแล้วกระทบต่อสถานะ
ประเด็นสองผมได้สิทธิการยอมรับทุกอย่างเหมือนเป็นคนไทยโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ไปไหนใครๆก็ต้อนรับ ทุกวันนี้คนยังไม่รู้ว่าผมไม่มีสัญชาติไทย ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาเรื่องสัญชาติ ผมเคยเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยไปนั่งเจรจาอยู่ฝั่งไทย ข้าราชการที่ไปด้วยกันไม่รู้ว่าผมถือหนังสือเดินทางอินเดีย เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีมาหกสมัย กระทรวงพาณิชย์สมัยคุณอุทัย พิมพ์ใจชน คุณชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ หลังจากนั้นเป็นที่ปรึกษาคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน สมัยพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ รวมสมัย นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายฯ ไปอินเดีย ผมก็ไปกับคณะของไทย
ลองไปเช็คประวัติผมกับข้าราชการที่กระทรวงพาณิชย์ได้ว่า ไม่ได้มีประวัติด่างพร้อย ด้านเศรษฐกิจปีค.ศ.2000 สมัยท่านกรณ์ (จาติกวณิช) เพิ่มยอดการค้า ยอดการค้าระหว่างไทย อินเดียอยู่ที่ 1.5พันล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มเป็นหมื่นล้านขึ้นอีก 6-7 เท่า เชื่อว่าตัวเองมีส่วนทำให้สำเร็จ เขตการค้าเสรีเรื่องเอฟทีเอมีส่วนมาก
ผมไปเปิดสำนักงานท่องเที่ยวไทยที่อินเดีย นักท่องเที่ยวจากหกหมื่นคนเป็นหนึ่งล้านคนแล้ว อยู่ในท็อป 5 ภายในสามปีเชื่อว่าจะเพิ่มเป็นสองล้าน ผมก็เป็นคนริเริ่มโครงการให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เชิญอัครมหาเศรษฐีจากอินเดีย (ตอนนี้อินเดียมีอัครมหาเศรษฐีเป็นอันดับหนึ่งในเอเชีย) มาจัดงานแต่งงานในประเทศไทย ปัจจุบันมีร้อยกว่ารายที่มาจัดงานในประเทศไทยแต่ละรายใช้เงินไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท
ผมมีบทบาทชักชวนผู้ประกอบการอินเดียมาเปิดโรงงานและลงทุนในไทยเป็นสิบๆราย แต่ละครั้งที่เป็นคณะคนไทยไปติดต่อการค้าอินเดีย ก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้ เพราะเพื่อนสมัยเรียนผมเป็นข้าราชการระดับสูงอยู่อินเดีย
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผู้แทนสภาฯ จากอินเดียมาประเทศไทย ผมก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้ ช่วยกระชับความสัมพันธ์ตลอด ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยได้รับค่าตอบแทนจากการเป็นวิทยากรรับเชิญ รายได้ที่ได้มาก็บริจาคการกุศลต่างๆ ทั้งหมด มอบเป็นทุนการศึกษาให้กับเด็กมากว่า 30 ปี
ไม่มีวาระซ่อนเร้น รัฐบาลไหนมาบริหารก็ช่วย มาเพ่งเล็งผมเรื่องอะไร ถ้ามีชาติหน้าขอเกิดเป็นคนไทย ถึงไล่ผมๆ ก็ไม่ไป แม่ผมอยู่ที่นี่ ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าเปลี่ยนสัญชาติเป็นคนไทยตอนนี้ผมจะทำเลยแม้จะไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ก็จะเปลี่ยนเพื่อให้เรื่องจบๆ ไป ผมจะอยู่ที่นี่จนตาย ไม่หนีไปไหน ผมรักเมืองไทย รักในหลวง เชื่อในกระบวนการศาลยุติธรรม







