'ธวัชชัย ไทยเขียว'รองปลัดฯนอนม็อบ

'ธวัชชัย ไทยเขียว'รองปลัดฯนอนม็อบ

"เราต้องเปิดใจพูดคุยกัน จะได้รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร ที่สำคัญต้องเอาชาติบ้านเมืองเป็นตัวตั้ง..."

นับเป็นเวลาร่วม 3 สัปดาห์ของปฏิบัติการ "ปิดกรุงเทพฯ" หรือ "ชัตดาวน์ แบงค็อก" ของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. เพื่อขับไล่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการตั้งเวทีหลักถึง 7 เวที ปิดเส้นทางและส่วนราชการสำคัญๆ จำนวนมาก

ประเทศไทยเหมือนถูกปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือ "ชัตดาวน์" จริงๆ เพราะทุกอย่างหยุดรอดูสถานการณ์การเมือง

การพยายามแก้ไขปัญหาของฝ่ายต่างๆ มีมาตลอด โดยเฉพาะการขอคืนพื้นที่ของศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ซึ่งมีการอ้างกฎหมายพิเศษและแถลงข่มขู่ผู้ชุมนุมรายวัน ถือเป็นมาตรการไม้แข็งอย่างหนึ่งซึ่งจนถึงขณะนี้ชัดเจนว่ายังไม่ประสบความสำเร็จ

แต่วิธีการ "ไม้อ่อน" ที่ปรากฏขึ้นในห้วงเวลาใกล้เคียงกันที่เวทีศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ ที่มี หลวงปู่พุทธะอิสระ ผู้ก่อตั้งวัดอ้อน้อย เป็นแกนนำ ถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ

หลวงปู่พุทธะอิสระ เสนอเงื่อนไขแก่คณะที่ไปเจรจาขอคืนพื้นที่ว่า "หากหน่วยงานใดต้องการเข้าไปทำงาน ต้องส่งคนมานอนร่วมกับผู้ชุมนุม เพื่อจะได้รู้ถึงความทุกข์ยากร่วมกัน"

และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ตัดสินใจปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ว่านั้นคือ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่ยอมไปนอนค้างคืนในพื้นที่ชุมนุมซึ่งว่ากันว่าน่ากลัวที่สุด เสี่ยงอันตรายที่สุด มีเสียงปืนเสียงระเบิดขับกล่อมแทบทุกคืน

การปฏิบัติตามเงื่อนไขผ่านไปได้อย่างราบรื่น กระทั่งล่าสุดเมื่อวานนี้ (4 ก.พ.) หลวงปู่พุทธะอิสระ เปิดไฟเขียวให้ข้าราชการกระทรวงยุติธรรมเข้าปฏิบัติงานที่ศูนย์ราชการฯ อาคารเอ ได้แล้ว

เสียงแซ่ซ้องจากทุกสารทิศจึงส่งตรงไปที่ รองฯธวัชชัย ซึ่งกลายเป็น "ฮีโร่" ไปเพียงชั่วข้ามคืน แม้แต่ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรมเอง ก็ยังชื่นชมในการตัดสินใจอันกล้าหาญนี้

"กรุงเทพธุรกิจ" ได้สัมภาษณ์แบบยาวๆ กับรองฯธวัชชัย และพบว่าบทเรียนสำคัญจากการคลี่คลายวิกฤติเที่ยวนี้คือ การพูดคุยเจรจาเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เราออกจากความขัดแย้งได้ทุกกรณี...

O จุดเริ่มต้นของการไปนอนที่เวที กปปส.แจ้งวัฒนะ เริ่มต้นอย่างไร?

ต้องเล่าเท้าความจากการเข้าไปเจรจาครั้งแรกของทีม ศรส. (ศูนย์รักษาความสงบ) ที่เป็นหัวหน้าส่วนข้าราชการ กับหลวงปู่พุทธะอิสระ ซึ่งท่านได้เสนอเงื่อนไขว่า หากต้องขอให้เปิดพื้นที่เข้าไปทำงาน ต้องไปร่วมอยู่ในที่ชุมนุมกับท่าน อยู่ร่วมกับผู้ชุมนุม เพื่อจะได้รู้ว่าทำไมต้องมาชุมนุม พวกเขาทุกข์ยากกันอย่างไรในการที่ต้องไปกิน อยู่ หลับนอนกันกลางถนน และต้องนอนเป็นเวลา 5 คืน

ต้องยอมรับว่าตอนแรกที่ได้ยินเงื่อนไขก็คิดหนักเหมือนกัน เพราะถือว่าเป็นการสุ่มเสี่ยงทีเดียว และอาจกลายเป็นผู้กระทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯเสียเอง แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว เพื่อประโยชน์ของทางราชการ จึงตัดสินใจไปร่วมนอนในที่ชุมนุม

O บรรยากาศจริงๆ ที่ได้สัมผัสเป็นอย่างไรบ้าง?

ต้องบอกกันตามความจริงว่า ผมเองไม่ได้เข้าไปคลุกคลีหรือไปสัมผัสผู้ชุมนุมมากนัก เพราะผมเป็นข้าราชการ เกรงจะผิดกฎหมายอย่างที่กล่าวข้างต้น จึงได้แต่อยู่ห่างๆ นั่งเล่นรอเวลา สักเที่ยงคืนผมก็เข้าไปกางเต็นท์นอนกลางพื้นที่ชุมนุม ก็ไม่ได้มีเหตุรุนแรงหรือคุกคามอะไรกับผม แต่ผมไม่ได้นอนครบตามเงื่อนไขหลวงปู่คือ 5 วันนะ นอนได้ 3 คืน เพราะมีทางผู้ใหญ่และคนในวงราชการโทรศัพท์มาขอร้องให้เลิกไปนอน เนื่องจากผมเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หากเกิดเหตุอะไรขึ้นกับผมมันจะกลายเป็นปัญหาแบบน้ำผึ้งหยดเดียว ผมจึงรับคำขอร้องของทุกคน

O แต่ก็ต้องถือว่าประสบความสำเร็จ...

ผมถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดีเลยครับ เพราะสามารถเปิดพื้นที่กระทรวงยุติธรรมได้ทั้งหมด ข้าราชการสามารถกลับเข้าไปทำงานได้ตามปกติ แม้จะยังมีเงื่อนไขอยู่บ้าง และผู้ชุมนุมยังไม่เลิกไปอย่างเด็ดขาดก็ตาม แต่ก็ถือว่าราบรื่น และสิ่งที่ผมทำ ผมไม่ได้ทำเพื่อใครหรือพรรคการเมืองใด แต่ผมยอมทำเพราะผมเป็นข้าราชการ ผมต้องทำตามหน้าที่ของความเป็นข้าราชการ

ผมตัดสินใจยอมรับเงื่อนไข เพราะผมเชื่อว่าหากเราไม่หันหน้ามาคุยกัน ปัญหามันก็ไม่จบ และเราก็จะไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเขาคิดหรือต้องการอะไร เรื่องนี้ต้องเปิดใจครับ และผมก็แสดงความจริงใจให้หลวงปู่พุทธะอิสระได้เห็นว่าผมต้องการแค่ให้การทำงานราชการเดินหน้าต่อไปได้เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝง

O สรุปบทเรียนจากเหตุการณ์นี้อย่างไรบ้าง?

ผมมองว่าทุกปัญหาสามารถแก้ไขและหาทางออกได้โดยใช้วิธีเจรจาพูดคุยกัน ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด เราต้องเปิดใจพูดคุยกัน จะได้รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร ต้องการจะสื่ออะไร และที่สำคัญที่สุด เราต้องเอาชาติบ้านเมืองเป็นตัวตั้ง อย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ทุกอย่างมันก็จะสามารถแก้ไขได้อย่างราบรื่น อย่ามัวแต่คิดจะเอาชนะกัน

ผมคิดว่าแต่ละฝ่ายอาจจะมีข้อเสนอหรือเงื่อนไขต่างๆ เป็นร้อยเป็นพันข้อ แต่ถ้าสามารถทำได้หรือแก้ไขได้สักหนึ่งข้อ ผมว่าแค่นั้นมันก็ดีแล้ว เพราะอย่างน้อยมันได้แสดงความจริงใจ และเป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่ข้อยุติของปัญหาทั้งหมดได้ในอนาคต

O ได้เข้าไปสำรวจอาคารและห้องทำงานต่างๆ พบปัญหาอะไรหรือไม่?

ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ อาคารของกระทรวงยุติธรรมไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น สามารถเปิดทำการได้ทันที ส่วนสำคัญเป็นเพราะหลวงปู่พุทธะอิสระได้สั่งไว้แล้วว่า ห้ามผู้ชุมนุมเข้าไปวุ่นวายในพื้นที่ราชการ ให้อยู่แต่เพียงภายนอกเท่านั้น

ข้าราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม 1,539 คนได้เข้าทำงานเรียบร้อย เราจะเปิดทางเข้าออกเพียงทางเดียว คือประตูกระทรวงยุติธรรม ให้ข้าราชการและผู้มาติดต่อใช้ประตูนี้ และอนุญาตให้ใช้เส้นทางเข้า-ออกเฉพาะด้านข้างอาคารเพียงเส้นทางเดียว

การเดินทางเข้ากระทรวงและจะมีทหารจาก ปตอ.พัน 5 (กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 5 กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ถนนแจ้งวัฒนะ) ไปตั้งจุดรักษาการบริเวณทางเข้า-ออก จำนวน 1 กองร้อย หรือประมาณ 150 นาย และจะกระจายกำลังประจำ 3 จุดหลัก คือ ประตูทางเข้า-ออก ลานจอดรถ และตั้งจุดสังเกตการณ์บริเวณดาดฟ้าอาคาร เพื่อป้องกันไม่ให้มีบุคคลไม่หวังดีแฝงตัวขึ้นไปก่อเหตุร้าย