ติงดีเอสไออายัดบัญชีแกนนำกปปส.เกินเหตุ

เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2556 พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ อดีตผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา หรือมือปราบแชร์ลูกโซ่ ได้ให้สัมภาษณ์ท้วงติงการออกคำสั่งให้สถาบันการเงินอายัดบัญชีเงินฝาก ของแกนนำม็อบ กปปส.ที่มีรายชื่อถูกออกหมายเรียกเข้ารับทราบข้อกล่าวหาจากดีเอสไอว่า ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษมาตรา 24 ระบุชัดว่าเพื่อประโยชน์ ในการปฏิบัติหน้าที่ให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ มีอำนาจหน้าที่ยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่ค้นพบ จากการตรวจค้นเคหะสถาน ยานพาหนะ หรือกรณีที่พนักงานสอบสวน มีหนังสือสอบถาม หรือเรียกให้สถาบันการเงินส่งเอกสารการเคลื่อนไหวทางบัญชี มาเพื่อตรวจสอบแล้วพบว่ามีธุรกรรมน่าสงสัยเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด พนักงานสอบสวนจึงจะมีอำนาจยึดอายัดตามกฎหมายได้

พ.อ.ปิยะวัฒก์ กล่าวอีกว่า จากประสบการณ์การสอบสวนที่ผ่านมา ดีเอสไอจะทำหนังสือถึงสถาบันการเงิน กรมที่ดิน กรมการขนส่งทางบก เพื่อขอเอกสารการครอบครองทรัพย์สินของผู้ต้องหาในช่วงที่มีการกระทำความผิดเพื่อตรวจสอบว่า มีความเคลื่อนไหวทางบัญชีอย่างไร หากมีธุรกรรมต้องสงสัย หรือมีรายได้ไม่เพียงพอกับเงินที่ถูกโอนเข้าบัญชี คดีจึงจะมีเหตุสมควรให้อายัดบัญชีเงินฝาก โดยกฎหมายให้อำนาจอายัดทรัพย์ไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด โดยส่วนตัวมองว่า การจะมีคำสั่งอายัดบัญชีเงินฝากของประชาชนควรจะพบพยานหลักฐานบ้าง เช่น มีเงินโอนเข้ามามากผิดปกติ แล้วถอนออกทันที โดยเป็นการทำซ้ำๆ หลายครั้ง

ทั้งนี้ คดีม็อบ กปปส.ดีเอสไอเพิ่งรับเป็นคดีพิเศษ พนักงานสอบสวนควรจะมีระยะเวลาในการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานพอสมควรอย่างน้อย ก็ควรมีหนังสือไปยังธนาคารขอเรียกดูกระแสการเงินก่อน เมื่อพบธุรกรรมต้องสงสัยจึงค่อยสั่งอายัด เนื่องจากกฎหมายสอบสวนคดีพิเศษเขียนไว้ชัดเจนคงไม่สามารถนำไปใช้ในเชิงป้องปรามได้

พ.อ.ปิยะวัฒก์ กล่าวอีกว่า การอายัดทรัพย์ดีเอสไอ มีความแตกต่างจากสำนักงานงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) โดย ปปง.จะอายัดทรัพย์ได้ต่อเมื่อคณะกรรมการธุรกรรมมีมติเห็นชอบ ขณะที่ดีเอสไอ กฎหมายออกแบบมีคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) เป็นผู้พิจารณารับคดี เมื่อ กคพ. มีมติรับคดีแล้ว พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจดำเนินการตามกฎหมายทั้งนี้ กฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษเป็นกฎหมายเฉพาะหากประชาชนจะร้องขอความคุ้มครองหรือร้องขอให้เพิกถอนการอายัดบัญชีต้องไปร้องที่ศาลปกครอง