เปิดใจนักรบปัตตานีพลัดถิ่น

เปิดใจนักรบปัตตานีพลัดถิ่น

เปิดใจนักรบปัตตานีพลัดถิ่น ทำร้าย"พระ-ครู"เพราะอยู่ใกล้ทหาร เรียกร้องถอนทหารแลกหยุดยิง

การพูดคุยสันติภาพระหว่างรัฐบาลไทย นำโดย พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กับแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็น นำโดย นายฮัสซัน ตอยิบ ดำเนินมาแล้ว 3 ครั้ง นับตั้งแต่วันลงนามในข้อตกลงริเริ่มกระบวนการเมื่อ 28 ก.พ.2556 ได้แก่วันที่ 29 มี.ค. 28 เม.ย. และ 13 มิ.ย.

ขณะที่การพบปะกันอย่างเป็นทางการครั้งที่ 4 ถูกเลื่อนออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าท่ามกลางกระแสข่าวว่า "โต๊ะพูดคุยล้มแล้ว"

ล่าสุดมีการกำหนดกรอบเวลาคร่าวๆ ว่าการพูดคุยสันติภาพรอบใหม่อาจเป็นช่วงต้นเดือน ธ.ค. โดยฝ่ายบีอาร์เอ็นจะมีการปรับโครงสร้างคณะพูดคุยแบบเต็มคณะ 15 คนตามข้อตกลง มีตัวแทนกลุ่มพูโลและบีไอพีพีเข้าร่วม ขณะที่บีอาร์เอ็นยังเป็นแกนหลักอยู่เช่นเดิม และจะดึงผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา การปกครอง และกิจการเยาวชนเข้าร่วมด้วย

การพูดคุยที่ผ่านมา 3 ครั้ง คณะพูดคุยฝ่ายบีอาร์เอ็น ไม่ว่าจะเป็นแกนหลักและทีมงาน ไม่เคยยอมให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนไทยที่เป็นสื่อกระแสหลัก

หลังการพูดคุยครั้งที่ 3 นายฮัสซัน พร้อมด้วย นายลุกมัน บิน ลิมา แกนนำองค์การพูโล และพวก ได้ยอมให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศชั้นนำที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย แต่ไม่มีสื่อมวลชนไทยร่วมด้วย หลังจากนั้นนายฮัสซันยังเคยให้สัมภาษณ์สื่อท้องถิ่นและสื่อกระแสรองในจังหวัดชายแดนภาคใต้อีกอย่างน้อย 2 ครั้ง

แต่ยังไม่เคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไทยกระแสหลัก

ล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ คณะสื่อมวลชนไทยได้มีโอกาสเดินทางไปสัมภาษณ์แกนนำกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ ทั้งบีอาร์เอ็น พูโล และบีไอพีพี ซึ่งมีและกำลังจะมี "ตัวแทน" ขึ้นโต๊ะพูดคุยสันติภาพกับรัฐบาลไทย เป็นการสัมภาษณ์นอกประเทศในลักษณะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างยาวนานหลายชั่วโมง

ทั้งนี้ "กรุงเทพธุรกิจ" สรุปประเด็นสำคัญมานำเสนอ โดยไม่ได้มีเจตนาเผยแพร่ข้อมูลของฝ่ายที่ประกาศจุดยืนต่อต้านรัฐอย่างชัดเจนในลักษณะทำให้เกิดกระทบต่อความมั่นคง ทว่ามีเจตนาเปิดพื้นที่สร้างความเข้าใจ ในบรรยากาศของการพยายามรักษาโต๊ะพูดคุยสันติภาพ เพื่อสถาปนาสันติสุขที่ปลายด้ามขวาน

ไม่ได้รบคนไทยแต่รบกับผู้ยึดครอง

กลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ ซึ่งขอเรียกตัวเองว่า "กลุ่มเคลื่อนไหว" หรือ "จูแว" ในภาษามลายู กล่าวเบื้องต้นว่า อยากทำความเข้าใจกับสังคมไทยว่า ทางกลุ่มไม่ได้ตั้งใจรบกับคนไทยทั้งประเทศหรือคนไทยทั่วไป เพียงแต่ต้องการสู้กับนักปกครองเท่านั้น คนอื่นไม่ใช่คู่ต่อสู้

"ถ้าทุกอย่างสามารถจบลงและนำความสันติสุขสู่พื้นที่นี้ได้ในแนวทางการพัฒนาสิทธิพื้นฐาน สิทธิความเป็นเจ้าของดั้งเดิม สิทธิการเมืองที่ดี เศรษฐกิจที่ดี และสังคมที่ดีงาม เการต่อสู้ด้วยความรุนแรงทั้งหลายก็จะไม่เกิดขึ้น" หนึ่งในกลุ่มเคลื่อนไหว ระบุ

2 เงื่อนไขต้องจับอาวุธสู้

กลุ่มจูแวพลัดถิ่น กล่าวต่อว่า สาเหตุที่พวกเขาต้องจับอาวุธขึ้นสู้ มีด้วยกัน 2 ประการ คือ 1.ดินแดนปาตานีถูกยึดครองโดยรัฐสยามในอดีต และ 2.ความอยุติธรรมที่พวกเขาได้รับ โดยการต่อสู้ด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช้อาวุธไม่เคยได้ผล จึงต้องเลือกใช้ความรุนแรง

"มี 2 เงื่อนไขหลักที่ทำให้เกิดการต่อสู้ คือ 1.ในเชิงประวัติศาสตร์ เพราะดินแดนปัตตานีถูกยึด 2.ชาติพันธุ์มลายูปัตตานีถูกปฏิเสธ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เริ่มเมื่อปี 2547 แต่เกิดมานานแล้ว บีอาร์เอ็นก่อตั้งเมื่อปี 1960 (พ.ศ.2503) กระบวนการต่อสู้มีมานานแล้ว ประวัติศาสตร์ยุคหะยีสุหลง (ผู้นำทางจิตวิญญาณของคนมลายูมุสลิม บิดาของ นายเด่น โต๊ะมีนา อดีต ส.ส.ปัตตานี) ก็พอบอกได้ ก่อนหน้านั้นก็มีกลุ่มต่างๆ ที่ประกาศชัดเจนประกาศว่าต่อสู้กับรัฐบาลไทย หรืออย่างสงครามที่ดุซงญอ (ปัจจุบันอยู่ที่ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส) ก็เป็นหลักฐานชัดเจน

"หะยีสุหลงไม่ได้ต่อสู้ด้วยความรุนแรง เขาเสนอข้อเรียกร้อง 7 ข้อให้กับรัฐบาลไทย แต่กลับต้องมาตาย (เชื่อว่าถูกอุ้มฆ่าถ่วงน้ำเมื่อปี 2498) หลังจากนั้นก็ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ ความอยุติธรรมที่รับไม่ได้เลยคือกรณีที่มีการสังหารชาวบ้าน 6 คนที่สะพานกอตอ (แม่น้ำสายบุรี จ.ปัตตานี) แล้วมีเด็กอายุ 14 ปีไม่เสียชีวิต และมาเล่าความจริงให้ฟัง (ทำให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในปี 2518) นี่คือสาเหตุที่ทำให้เกิดขบวนการต่อสู้"

การศึกษาด้อยคุณภาพ-ไร้สิทธิรับราชการ

ประเด็นความไม่เป็นธรรม นอกจากมิติทางกายภาพเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายแล้ว ยังมีมิติทางสิทธิ เสรีภาพ และสถานภาพทางสังคมด้วย โดยหนึ่งในกลุ่มเคลื่อนไหว อธิบายว่า คนปัตตานี (หมายถึงคนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งหมดที่เชื่อว่าเป็นดินแดนมลายู ไม่ใช่เฉพาะ จ.ปัตตานี) โดนสองมาตรฐานในเรื่องการดูแลความยุติธรรม ในแง่ของการปกครองในพื้นที่ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมุสลิมไปนั่งในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดอำเภอ นายอำเภอ หรือแม้แต่ครูใหญ่

เกี่ยวกับเรื่องการศึกษา คนมลายูปัตตานีก็ถูกบังคับให้เข้าการศึกษาภาคบังคับ ใครไม่ส่งลูกหลานไปเรียนก็จะมีความผิด ทั้งๆ ที่ผู้ปกครองทุกคนเห็นว่าการส่งลูกหลานไปเรียนโรงเรียนของรัฐบาล แนวโน้มที่จะทำให้ลูกหลานถูกทำลายเรื่องอัตลักษณ์ความเป็นมลายูมีสูงมาก เป้าหมายการมีโรงเรียนเพื่อให้คนมลายูถูกกลืนเป็นวัฒนธรรมไทย วิถีไทย คนไทย

"นี่คือสาเหตุที่ทำให้ผู้ปกครองนำลูกหลานไปเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม แต่ความผิดของรัฐบาลคือไม่พัฒนาโรงเรียนเอกชนให้มีคุณภาพ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณภาพการศึกษาของลูกหลานปัตตานีไม่มีคุณภาพ เมื่อจบการศึกษาก็ไม่มีโอกาสเข้าทำงานในส่วนราชการต่างๆ ของรัฐ นี่คือความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับคนปัตตานี"

แจงไม่มีนโยบายทำร้าย "ครู-พระ"

สื่อมวลชนที่ร่วมวงพูดคุยถามว่า ในเมื่อบอกไม่ได้รบกับคนไทย เหตุใดจึงสังหารหรือก่อเหตุรุนแรงพุ่งเป้าไปที่ครู หรือแม้กระทั่งพระสงฆ์ หนึ่งในคณะเคลื่อนไหว ชี้แจงว่า เราไม่เคยคิดรบกับครู แต่รัฐบาลไทยลากครูให้อยู่ในสนามรบ ให้ครูถือปืน ให้ทหารเฝ้าโรงเรียน เมื่อเป็นเช่นนี้ โรงเรียนจึงกลายเป็นเป้าหมายของการต่อสู้ด้วย

"ในความเป็นจริง กลุ่มเคลื่อนไหวพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายกับครู ทั้งๆ ที่กลุ่มเคลื่อนไหวมีกฎชัดเจน ห้ามทำร้ายครู อุสตาซ โต๊ะอิหม่าม และพระสงฆ์ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะถ้าคนเหล่านั้นไม่อยู่เป็นกลาง ไปเป็นสายสืบของฝ่ายเจ้าหน้าที่ ถ้าอยู่เป็นกลางก็จะทำให้เกิดความปลอดภัยกว่านี้อีกมาก"

จูแวพลัดถิ่นอีกรายหนึ่ง กล่าวเสริมว่า กลุ่มเคลื่อนไหวทุกกลุ่มไม่เคยคิดเลยว่าคนทั่วไปจะตกเป็นเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระและครู ทุกกลุ่มเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นพูโล บีอาร์เอ็น หรือกลุ่มอื่นๆ มีพื้นฐานการต่อสู้ตามหลักการอิสลาม ไม่อนุญาตให้ไปทำร้ายคนทั่วไป

โบ้ยเพราะรัฐติดอาวุธ-ตั้งฐานในวัด

"แต่ปัญหาคือเมื่อเกิดเหตุการณ์ในหมู่บ้านคนไทยพุทธ รัฐก็เข้าไปติดอาวุธให้ เกือบทุกหมู่บ้านของคนไทยพุทธมีการวางกองกำลังตำรวจ มีค่ายตำรวจ ทหาร เมื่อแนวทางการนำกองกำลังตำรวจ ทหารเข้าไปอยู่ในหมู่บ้าน และติดอาวุธให้คนในหมู่บ้านไทยพุทธดำเนินการในวงกว้าง ก็ทำให้เกิดความหวาดระแวงมากขึ้น ทำให้ความสงบสุขที่มีมาเป็นร้อยๆ ปี ถูกแยกออกไป"

"เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้น คือ กองกำลังของทหาร ตำรวจไปอยู่ในพื้นที่ไทยพุทธหรือวัด เมื่อมีคนอีกกลุ่มหนึ่งได้รับผลกระทบจากความรุนแรง และเข้าใจว่าถูกกระทำโดยกลไกของรัฐ เขาก็จะไปแก้แค้น เหมือนกับความเจ็บแค้นของผู้ถูกกระทำในเหตุการณ์ตากใบ คนเหล่านั้นก็ไปตอบโต้ ไปกระทำกับเจ้าหน้าที่ ไปทำในพื้นที่ไทยพุทธ และโดนไทยพุทธด้วย เป็นการตอบโต้แก้แค้น และหลายกรณีไม่ได้เกิดขึ้นจากสมาชิกกลุ่มเคลื่อนไหว แต่เป็นคนทั่วไปที่มีความรู้สึกเคียดแค้นเพราะถูกกระทำ"

เรียกร้องถอนทหารแลกหยุดยิง

แกนนำกลุ่มเคลื่อนไหว ได้เรียกร้องให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงนโยบาย โดยเฉพาะที่สำคัญคือถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ ยุติการใช้กำลังของหน่วยงานความมั่นคง "ถ้าถอนทหาร พวกเราก็หยุด เราจะอยู่ในลักษณะของการป้องกันตัว"

หนึ่งในกลุ่มจูแวพลัดถิ่น ยังบอกว่า หากรัฐบาลเริ่มทำ กลุ่มเคลื่อนไหวก็สามารถชี้แจงสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่ได้ เพราะจริงๆ แล้วความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเป็นความประสงค์ของกลุ่มเคลื่อนไหว เพียงแต่ยังมีความหวาดระแวงและไม่มีความเชื่อมั่นระหว่างกัน

"ชายแดนใต้มีกฎหมายหนักๆ 3 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ความมั่นคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และกฎอัยการศึก ถามว่าพื้นที่อื่นๆ ในประเทศไทยมีบ้างไหม ถ้าจำไม่ผิด จำนวนทหารที่อยู่ในพื้นที่ และหน่วยงานอื่นที่มีอาวุธ มีจำนวนมากกว่าทหารอเมริกันที่อยู่ในอิรักทั้งประเทศเสียอีก" แกนนำกลุ่มเคลื่อนไหว กล่าว