เปิดพื้นที่จริงอาณาบริเวณ'ภูพระวิหาร'

เปิดพื้นที่จริง "ชะง่อนผา" อาณาบริเวณ "ภูพระวิหาร" สิ่งที่ฝ่ายไทยต้องเจรจากับกัมพูชาว่าสุดท้ายแล้วมีขอบเขตแค่ไหนกันแน่!
ข้อได้เปรียบอย่างชัดเจนต่อฝ่ายไทยของคำพิพากษาศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหาร เมื่อวันที่ 11 พ.ย.2556 ก็คือ ศาลยืนยันว่าไม่สามารถวินิจฉัยเกินขอบเขตคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505 ฉะนั้นจึงไม่มีการพูดถึง "เส้นเขตแดน" และศาลไม่ตีความสถานะของแผนที่ภาคผนวก 1 หรือแผ่นที่ 1:200,000 ว่าเส้นบนแผนที่มีสถานะเป็นเส้นเขตแดนตามที่กัมพูชาร้องขอ
ทั้งยังระบุชัดว่าพื้นที่ของภูมะเขือ หรือ "พนมตร็อบ" (ในภาษาเขมร นักวิชาการบางท่านใช้ "พนมทรัพ" ซึ่งอยู่ในพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตร) อยู่นอกเหนือจากบริเวณพิพาทในคดี (ว่าด้วยอธิปไตยของปราสาทพระวิหาร) ฉะนั้นจึงสรุปได้ประการหนึ่งว่าไทยไม่เสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรไปทั้งหมดหรือส่วนใหญ่
อย่างไรก็ดี ก็มีบางแง่มุมของคำพิพากษาที่หลายฝ่ายมองว่าเป็น "ข้อเสียเปรียบ" ของฝ่ายไทย โดยเฉพาะการเน้นย้ำคำพิพากษาย่อหน้าหรือวรรคที่ 98 เมื่อปี 2505 ที่ศาลมองว่าคือการกำหนดพื้นที่ขอบเขตของ "บริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร" หรือ vicinity เอาไว้ โดยยึดลักษณะพรมแดนธรรมชาติของ "ชะง่อนผา" หรือ promontory ที่เรียกว่า "ภูพระวิหาร" ซึ่งแยกจาก "ภู" อื่นที่อยู่ใกล้เคียงกัน คือ "ภูมะเขือ" หรือ "ภูตร๊อบ"
อาณาบริเวณนับจากทิศใต้ของเส้นบนแผนที่ภาคผนวก 1 ไปทางทิศตะวันออก ทิศใต้ และทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่ง "ชะง่อนผา" ที่มีความชันมากได้ลดความสูงลงสู่ที่ราบกัมพูชา โดยในคำพิพากษาปี 2505 ชี้ว่าพื้นที่ "ชะง่อนผา" ของ "ภูพระวิหาร" ไปจนถึงตีนภูมะเขือ อยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา
หากถ่ายทอดเส้นบนแผนที่ลงบนพื้นที่จริง (ซึ่งยากมาก และไม่มีข้อมูลทางการ) ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มประมาณ 1-1.5 ตารางกิโลเมตร หรือ 625 ไร่ไปจนถึงเกือบ 1,000 ไร่ ซึ่งคำว่า "เสียดินแดนเพิ่ม" ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นถ้อยคำที่ถูกต้อง เพราะศาลอ้างคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505 เพียงแต่ไทยกับกัมพูชาเข้าใจไม่ตรงกัน โดยฝ่ายไทยเข้าใจว่าบริเวณโดยรอบตัวปราสาทเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2505 คือบริเวณที่ไทยล้อมรั้วลวดหนามเอาไว้เท่านั้น ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาเข้าใจว่าบริเวณโดยรอบตัวปราสาทเป็นบริเวณภูพระวิหารทั้งหมด รวมถึงพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตรด้วย
หลักฐานของความเข้าใจที่แตกต่างก็คือ ภายหลังฝ่ายกัมพูชาได้ตัดถนนขึ้นไปยังตัวปราสาท (เพราะทางขึ้นเดิมที่เป็นบันไดหินอยู่ในฝั่งไทย) โดยการตัดถนนนั้นฝ่ายไทยเชื่อว่ากินพื้นที่ในส่วนของ 4.6 ตารางกิโลเมตรด้วย ทำให้ทางการไทยยื่นคัดค้านมาโดยตลอด แต่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชาตามที่ศาลโลกพิพากษาเมื่อปี 2505 คือ บริเวณภูพระวิหารยาวไปถึงภูมะเขือ (พนมตร๊อบ) ซึ่งอยู่ในพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร
สำหรับพื้นที่ภูพระวิหาร มีลักษณะเป็นเนินคล้ายภูเขาลาดเอียงจากทิศตะวันออก ไปจรดตีนภูมะเขือทางทิศตะวันตก ซึ่งทางทิศตะวันออกเป็นผาชัน ด้านล่างเป็นดินแดนประเทศกัมพูชา ทิศใต้เป็นพื้นที่ผาชัน ด้านล่างเป็นประเทศกัมพูชาเช่นกัน ส่วนทิศเหนือติดผามออีแดงของไทย ที่ผ่านมาบนภูพระวิหาร ทางกัมพูชาเคยส่งทหารไปประจำการอยู่ และมีการปลูกสร้างที่พักพิงบางส่วน ขณะที่ภูมะเขือในอดีตทหารไทยก็เคยไปประจำการอยู่เช่นกัน
สิ่งที่ฝ่ายไทยต้องเดินหน้าเจรจากับกัมพูชาต่อไปก็คือ ตกลงแล้ว "ชะง่อนผา" มีขอบเขตแค่ไหนกันแน่?







