เปิดคำพิพากษาศาลโลกคดีพระวิหาร

เปิดคำพิพากษาศาลโลก "ไทย-กัมพูชา"เจรจายุติพิพาท
องค์คณะของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก จำนวน 17 ท่าน ออกนั่งบัลลังก์ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ อ่านคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร เมื่อเวลา 16.00 น.วานนี้ ตามเวลาในประเทศไทย โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง "กรุงเทพธุรกิจ" สรุปประเด็นสำคัญมานำเสนอ
กัมพูชาได้ยื่นคำร้องขอตีความคำพิพากษาของศาลเมื่อปี 1962 (พ.ศ.2505) ตามธรรมนูญข้อ 60 ของศาล โดยศาลได้พูดถึงว่าอำนาจศาลเป็นไปตามมาตรา 60 ศาลสามารถรับคำร้องของการตีความใหม่ได้ถ้ามีภาวะพิพาทจากการตีความและเรื่องขอบเขตของคำพิพากษาเดิมจริง
จากการพิจารณาของศาลพบว่า มีความเห็นแตกต่างระหว่างคู่ความคือไทยกับกัมพูชาในเรื่องของความหมาย เหตุผลของการตีความ และความเห็นต่างกันในข้อปฏิบัติการ และยังไม่ได้ข้อยุติจริง จึงอยู่ในขอบข่ายของการตีความได้
ในมุมมองของประเทศไทย ได้ถอนกำลังออกจากบริเวณปราสาท และได้กำหนดแต่ฝ่ายเดียวเรื่องของเขตปราสาทว่าอยู่ที่ใด จุดที่ว่านี้สะท้อนให้เห็นตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของไทยปี 1962 ที่กำหนดตำแหน่งเขตของปราสาท ประเทศไทยมีภาระหน้าที่ต้องถอนกำลัง ได้จัดทำรั้วลวดหนามตามมติ ครม. โดยไทยถือว่าบริเวณปราสาทพระวิหารไม่ได้เกินไปกว่าเส้นที่กำหนดนี้
อย่างไรก็ดี ตรงข้ามกับมุมมองของกัมพูชา เพราะกัมพูชาไม่ได้ยอมรับการถอนกำลังของไทย หรือมองว่าไทยได้ดำเนินการตามคำพิพากษาอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ทั้งสองฝ่ายจึงมีข้อพิพาทในแง่ความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาปี 1962 จริง เส้นตามแผนที่ภาคผนวก 1 เป็นเส้นเขตแดนระหว่างสองประเทศในบริเวณปราสาทพระวิหารหรือไม่ เป็นมุมมองที่เห็นแตกต่างกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ศาลพิจารณาว่าจุดยืนของสองฝ่ายที่แสดงออกมาตามคำขอของกัมพูชา ตลอดจนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ทั้งสองประเทศมีมุมมองแตกต่างกันจริง
ศาลสรุปว่า ข้อพิพาทของทั้งสองฝ่ายในแง่ของความหมายและขอบเขตคำพิพากษาปี 1962 มีความสำคัญใน 3 แง่ คือ 1.คำพิพากษาได้หรือไม่ได้ตัดสินหรือมีข้อผูกพันเส้นบนแผนที่ภาคผนวก 1 ว่าเป็นเส้นเขตแดนหรือไม่ 2.ในแง่ของความหมายขอบเขตบริเวณดินแดนของกัมพูชาซึ่งศาลพูดถึงในบทปฏิบัติการที่ 2 อันเป็นผลที่ตามมาจากบทปฏิบัติการที่ 1 ว่าปราสาทอยู่ในดินแดนใต้อธิปไตยของกัมพูชา และ 3.มีข้อพิพาทเกี่ยวกับพันธกรณีของประเทศไทยในการถอนกำลังทหารและตำรวจ
ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นที่จะต้องตีความคำพิพากษาในส่วนของบทปฏิบัติการ และผลทางกฎหมายของแผนที่ภาคผนวก 1 ศาลมีเขตอำนาจในการพิจารณาตามคำร้องขอของกัมพูชาในการตีความและรับไว้พิจารณา
ในการตีความนั้น ศาลจะไม่เข้าไปพิจารณาปัจจัยต่างๆ ซึ่งมีลักษณะ 3 ประการที่เห็นได้ชัดในคำพิพากษาปี 1962 กล่าวคือ
1.ศาลได้พิจารณาว่าเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของสถานที่ตั้งปราสาท แต่ศาลไม่ได้ทำหน้าที่ในการปักปันเขตแดน
2.แผนที่ภาคผนวก 1 เป็นเหตุผลหลักในการที่ศาลพิพากษาหลังจากที่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของแผนที่นั้น และดูผลความเกี่ยวเนื่องกับสนธิสัญญา ศาลได้กล่าวว่าประเด็นที่แท้จริงก็คือว่าคู่ความได้รับรองแผนที่ภาคผนวก 1 และเส้นแบ่งเขตแดนในนั้นเป็นผลของคณะกรรมการปักปันเขตแดนกรณีเขาพระวิหาร
3.ศาลมีความชัดเจนว่าศาลได้ดูเฉพาะบริเวณปราสาทพระวิหารเท่านั้น ซึ่งก็เป็นบริเวณที่เล็กมาก กัมพูชากล่าวว่าขอบเขตของพื้นที่พิพาทนั้นเล็กมาก เล็กจริงๆ ประเด็นอื่นก็ไม่ได้ขัดแย้งกันในปี 1962 ฉะนั้นขอบเขตที่พิพาทกันเป็นขอบเขตพื้นที่ที่เล็กมาก ทันทีที่มีการพิพากษา ศาลได้อธิบายบริเวณนั้นด้วยถ้อยคำว่า "ปราสาทพระวิหารอยู่ในทางด้านตะวันออกของเทือกเขาดงรัก ซึ่งในการทั่วไปถือว่าเป็นเขตแดนระหว่างสองประเทศในบริเวณนี้ กัมพูชาในทางใต้ และประเทศไทยในทางเหนือ...จบการกล่าวอ้าง"
ความเข้าใจเบื้องต้นของบริเวณใกล้เคียงของปราสาทพระวิหาร ศาลเห็นว่าเขตแดนของกัมพูชาทางเหนือไม่เกินเส้นแบ่งของภาคผนวก 1 ตามพยานหลักฐานชัดเจนว่าด่านของตำรวจไทยอยู่ไม่ไกลมากไปทางใต้ และอยู่ใกล้จุดบนแผนที่ภาคผนวก 1 ดังนั้นศาลจึงพิจารณาพื้นที่ที่จำกัด มีขอบเขตทั้งด้านตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือ และด้านเหนือ ซึ่งถือเป็นพื้นที่กัมพูชา จึงพิจารณาเห็นว่าพื้นที่ตามบทปฏิบัติการที่ 2 (ในคำพิพากษา) ครอบคลุมทั้งชะง่อนผา
กัมพูชาไม่ได้ถือว่าภูมะเขืออยู่ในบริเวณปราสาทพระวิหาร ในระหว่างพิจารณาข้อพิพาท ภูมะเขือเป็นส่วนหนึ่งของอีกจังหวัดหนึ่ง เป็นส่วนเกี่ยวข้องกับส่วนอื่นของกัมพูชา ปัจจุบันจังหวัดนี้ก็เล็กเกินกว่าจะครอบคลุมเขาพระวิหารและภูมะเขือ และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของส่วนสำคัญที่ศาลต้องพิจารณา
การตีความเพื่อกำหนดจุดต่างๆ ปี 1962 ศาลไม่ได้พิจารณาบริเวณกว้าง และไม่ได้มีความตั้งใจกำหนดคำว่า "บริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร" ในพื้นที่กัมพูชา เพื่อให้เข้าใจว่าครอบคลุมพื้นที่นอกเหนือชะโงกผาของปราสาทพระวิหาร ไม่ได้หมายความว่าศาลพิจารณาว่าภูมะเขืออยู่ในเขตไทยหรือกัมพูชา เพราะศาลไม่ได้พิจารณาในประเด็นนั้น
พื้นที่ที่ศาลพิจารณาในคำพิพากษาเป็นพื้นที่เล็ก มีภูมิศาสตร์ชัดเจน เป็นบริเวณที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา ศาลสรุปว่า พื้นที่ที่พูดถึงในบทปฏิบัติการวรรค 1 และ 3 เป็นพื้นที่เดียวกัน อยู่ใต้อธิปไตยของกัมพูชาซึ่งอยู่ด้านเหนือของแผนที่ภาคผนวก 1
ศาลถือว่าทั้งหมดเป็นประเด็นที่อยู่ในหัวใจของข้อขัดแย้งในปัจจุบัน ศาลไม่จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นอื่นๆ พันธกรณีตามบทปฏิบัติการวรรค 2 ไทยรับว่าได้ปฏิบัติแล้วครอบคลุมพื้นที่ที่ศาลถือว่าเป็นอธิปไตยของกัมพูชา ทั้งสองฝ่ายจะต้องดำเนินการตามพันธกรณีต่อไป โดยการเคารพบูรณภาพของทุกประเทศที่เกี่ยวข้อง และแก้ไขข้อพิพาทระหว่างกันด้วยวิธีการอื่น
ปัจจุบันปราสาทพระวิหารเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลก ศาลเห็นว่าภายใต้การทำงานของทั้งสองฝ่าย กัมพูชาและไทยจะต้องไปคุยกันเอง โดยที่ยูเนสโกจะต้องควบคุมและดูแลในฐานะมรดกโลก แต่มีพันธกรณีที่จะต้องกระทำมาตรการใดๆ ก็ตามที่จะดูแลมรดกโลกชิ้นนี้ไว้
ภายใต้บริบทเหล่านี้ ศาลขอเน้นให้ชัดเจนว่า การจะเข้าถึงปราสาทพระวิหารจะต้องทำได้ในส่วนของกัมพูชา สรุปว่าวรรค 1 ของข้อบทปฏิบัติการ กัมพูชามีอธิปไตยเหนือทั้งชะโงกเขาที่ระบุไว้ในคำพิพากษาปี 1962 ประเทศไทยจึงมีพันธกรณีที่จะต้องถอนกำลังทหารทั้งหมดที่มีอยู่บริเวณนั้น
ศาลมีมติเป็นเอกฉันท์ ยืนยันว่าสามารถรับตีความคำพิพากษาปี 1962 ได้ และวินิจฉัยว่ากัมพูชามีอธิปไตยเหนือดินแดนทั้งหมดของปราสาทพระวิหาร ประเทศไทยมีพันธกรณีต้องถอนกำลังทหารและตำรวจออกจากเขตแดนดังกล่าว รวมทั้งผู้เฝ้ารักษาและเฝ้ายาม







