ปิดคดีทุจริตรถดับเพลิง 'ประชา'คุก12ปี

ปิดคดีทุจริตรถดับเพลิง 'ประชา'คุก12ปี

ปิดฉากคดีทุจริตรถดับเพลิง ศาลพิพากษาจำคุก "ประชา มาลีนนท์" 12 ปี เจ้าตัวยังล่องหน ศาลสั่งออกหมายจับพร้อม "อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ"เจอคุก10ปี

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาคดีทุจริตจัดซื้อรถดับเพลิง จำนวน 315 คัน และ เรือดับเพลิง 30 ลำ ของ กรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย มูลค่า 6,687,489,000 บาท ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด 6 คน โดยการต่อสู้คดีนี้ดำเนินมานานกว่า 10 ปี ตั้งแต่ชั้นสอบสวนจนศาลประทับรับฟ้อง

ล่าสุด วานนี้ (10 ก.ย.) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาคดีเป็นที่สุดแล้ว โดย นายธานิศ เกศวพิทักษ์ รองประธานศาลฎีกาฯ เจ้าของสำนวนทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง ของ กทม.พร้อมองค์คณะผู้พิพากษา รวม 9 คน ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาให้ นายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย และ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. มีความผิดตาม พ.ร.บ.ฮั้วประมูล ปี 2542 จากกรณีทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงฯ ส่วน นายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย และนายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ และจำเลยที่เกี่ยวข้องศาลเห็นว่าพยานหลักฐานไม่พอว่ามีส่วนร่วมกระทำผิด พิพากษาให้ยกฟ้อง

คำพิพากษาให้ลงโทษ นายประชา จำเลยที่ 2 และ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ จำเลยที่ 4 ที่กระทำความผิดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบด้วย มาตรา 83 และความผิดต่อ พ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ. 2542 หรือ พ.ร.บ.ฮั้วประมูล ทั้งนี้ องค์คณะฯ มีมติเสียงข้างมากว่า นายประชา และ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นการกระทำผิดกรรมเดียว กฎหมายหลายบท ให้จำคุกนายประชา เป็นเวลา 12 ปี ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 และ 13 ซึ่งเป็นกฎหมายบทหนักที่สุด

และให้จำคุก 10 ปี พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐฯ มาตรา 12 จากกรณีที่ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในการผลักดัน ให้เร่งรัดสั่งซื้อ อุปกรณ์ครุภัณฑ์บรรเทาสาธารณภัย ตามโครงการพัฒนาระบบและบริหารการป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย กทม. เมื่อปี 2547 ไม่ชอบ โดยฝ่าฝืนมติ ครม.ข้อปฏิบัติการดำเนินการซื้อสินค้าต่างตอบแทน ตามประกาศ กระทรวงพาณิชย์ ข้อบัญญัติของการบริหารราชการ กทม. และ ระเบียบการจัดซื้อ จนทำให้การสั่งซื้อสินค้าเอื้อประโยชน์ กับ บริษัทสไตเออร์ จำเลยที่ 5 ในคดีนี้ ซึ่งมีการสั่งซื้อราคาแพง และ บริษัทสไตเออร์ฯ ได้รับประโยชน์ 48.77% เมื่อเทียบกับราคาที่กรมบรรเทาสาธารณภัยของกระทรวงมหาดไทย จัดซื้ออุปกรณ์ ประเภทเดียวกันที่ผลิตและจัดจำหน่ายภายในประเทศไทย

โดยการจัดซื้อจากการผลักดันของจำเลยที่ 2 และที่ 4 ก็ไม่ได้เปรียบเทียบราคากระทั่งทำให้มีการจัดซื้อสินค้าด้วยวิธีการพิเศษและส่งผลให้จำเลยที่ 5 รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียว อันเป็นการกีดกันทางการค้า และการเสนอราคาแข่งขัน อย่างเป็นธรรม

พยานไม่พอเอาผิด3นักการเมือง

ขณะที่พยานหลักฐานโจทก์ (ป.ป.ช.) ยังไม่เพียงพอรับฟังว่านายโภคิน พลกุล จำเลยที่ 1 นายวัฒนา เมืองสุข จำเลยที่ 3 และ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯกทม.จำเลยที่ 6 ปฏิบัติหน้าที่มิชอบในโครงการดังกล่าว องค์คณะจึงมีมติเสียงข้างมากพิพากษายกฟ้อง

พร้อมกันนี้ ศาลมีคำสั่งให้ออกหมายจับนายประชา เพื่อติดตามตัวมาบังคับคดีรับโทษ และให้ออกหมายจับ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ จำเลยที่ 4 ที่ไม่มาศาลฟังคำพิพากษา โดยให้ติดตามตัวมารับฟังคำพิพากษา ในวันที่ 16 ต.ค. เวลา 09.30 น. พร้อมปรับนายประกัน 2 ล้านบาท

ส่วนบรรยากาศที่ศาลตั้งแต่ช่วงเช้า มีสื่อมวลชนในประเทศและต่างประเทศ มาทำข่าวการอ่านคำพิพากษาจำนวนมาก ขณะที่ นายประชา จำเลยที่ 2 และ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ จำเลยที่ 4 ไม่ได้เดินทางมาศาล เพื่อเข้าฟังคำพิพากษาคดี ขณะที่นายโภคิน และ นายอภิรักษ์ กล่าวภายหลังฟังคำพิพากษา ว่า ขอบคุณทุกฝ่าย ด้านนายวัฒนา ขอตัวและเดินทางกลับทันทีโดยปฏิเสธการให้สัมภาษณ์

ทนายป.ป.ช.ชี้ "ประชา" หนีไปตปท.

ขณะที่ นายสิทธิโชค ศรีเจริญ ทนายความ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ กล่าวว่า การที่ศาลต้องสั่งออกหมายจับนายประชา เพราะตามกฎหมาย นายประชา ซึ่งเป็นจำเลยที่ได้รับการประกันตัว ต้องมาแสดงตัวต่อศาลเมื่อถึงวันที่ศาลนัด แต่ปรากฏว่านายประชาไม่ได้เดินทางมาศาลในวันนัดฟังคำพิพากษา โดยไม่ได้แจ้งเหตุขัดข้อง จึงมีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่มาฟังคำพิพากษา ศาลจึงออกหมายจับ

โดยหมายจับของศาล จะส่งไปที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จากนั้นตำรวจจะส่งหมายจับไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองทุกแห่ง และส่งไปยังสถานีตำรวจทั่วประเทศ แต่หมายจับของศาลไทย ตำรวจจะใช้จับได้ในกรณีที่จำเลยอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น ดังนั้นหากจำเลยหนีไปต่างประเทศ ตำรวจต้องประสานไปยังกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้กระทรวงการต่างประเทศติดต่อไปยังตำรวจสากลเพื่อติดตามจับตัวมาให้

"ผมทราบมาว่า ก่อนหน้านี้นายประชาได้ขออนุญาตศาลเดินทางไปฮ่องกงและมาเก๊า โดยแจ้งวันเดินทางว่าเป็นวันที่ 31 ก.ค. ที่ผ่านมา และบอกศาลว่าจะกลับมาทันฟังคำพิพากษาในวันที่ 6 ส.ค. ซึ่งเป็นวันที่ศาลนัดฟังคำพิพากษาก่อนหน้านี้ แต่ปรากฏว่านายประชากลับไม่มาตามนัด ศาลจึงเห็นว่ามีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่มาฟังคำพิพากษา ศาลจึงปรับนายประกันของนายประชา ตามสัญญาประกันเป็นเงิน 2 ล้านบาท และออกหมายจับมาครั้งหนึ่งแล้ว และออกหมายจับอีกครั้งในวันนี้ (10 ก.ย.) ซึ่งเป็นวันนัดฟังคำพิพากษาครั้งที่สอง แต่เชื่อว่าป่านนี้นายประชาคงไปอยู่ที่สหรัฐหรือยุโรปแล้ว และผมไม่เชื่อว่าจะตามจับตัวคุณประชามาได้" ทนายความ ป.ป.ช. กล่าว

กทม.เตรียมใช้ข้อมูลสู้คดีอนุญาโตฯ

ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว เพราะมีผลต่อการตัดสินในชั้นอนุญาโตตุลาการ ที่ กทม.และบริษัทสไตเออร์ฯ ต่อสู้คดีกันอยู่ ซึ่ง กทม.จะต้องส่งรายงานคำตัดสินของศาลฎีกาฯ ให้อนุญาโตตุลาการประกอบการพิจารณาด้วย

แหล่งข่าวจาก กทม. เปิดเผยว่า ฝ่ายกฎหมายของ กทม.จะขอคัดสำเนารายละเอียดคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเสนอต่อชั้นอนุญาโตตุลาการของศาลโลก เพราะการต่อสู้คดีในชั้นอนุญาโตตุลาการนั้น ตามข้อต่อสู้ระบุว่ามีการทุจริตภายในร่วมกับบุคคลภายนอกเพื่อทำให้ กทม.เสียหาย ซึ่งที่ผ่านมาในคดีทางแพ่ง กทม.ได้ยื่นเรื่องฟ้องค่าเสียหายทางแพ่งต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกับศาลไว้แล้ว ภายหลังนายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าฯ กทม. เสียชีวิต เพื่อไม่ให้คดีทางแพ่งหมดอายุความ

"จากนี้จึงต้องมาดูรายละเอียดคำพิพากษาว่าจะมีบุคคลใดมีพฤติกรรมเกี่ยวข้อง ถึงแม้บางคนจะหลุดจากคดีอาญาไปแล้ว แต่คดีแพ่งยังต้องสู้ในชั้นศาลกันต่อไป หากศาลพิพากษาว่า กทม.ชนะ ก็สามารถเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งโดยการยึดทรัพย์ผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องได้" แหล่งข่าวกล่าว

"ประชา"รายที่ 4 หนีคดีในรอบ 10 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายประชา มาลีนนท์ นับเป็นนักการเมือง คนที่ 4 ของไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ที่ถูกศาลตัดสินให้จำคุก คนแรก คือ นายรักเกียรติ สุขธนะ อดีต รมว.สาธารณสุข ที่ถูกศาลตัดสินให้จำคุกในคดีทุจริตยา เป็นเวลา 5 ปี ปัจจุบันพ้นโทษแล้วบวชเป็นพระ ถือเป็นนักการเมืองคนเดียวที่ยอมติดคุก หลังจากหลบหนีคดีมานานหลายปี

อีกคน คือ นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย ที่หลบหนี คดีทุจริตโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสีย คลองด่าน จ.สมุทรปราการ ที่ศาลมีคำพิพากษาให้จำคุกเช่นกัน และสุดท้าย คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ถูกศาลตัดสินให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี ในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดิน ย่านถนนรัชดา ซึ่งทั้ง 2 รายยังหลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ