ยกฟ้อง'รังสรรค์ อดีตอธิการบดีรามฯ'กับพวก

อุทธรณ์พิพากษาแก้ยกฟ้อง"รังสรรค์ อดีตอธิการบดีรามฯ"กับพวกรวม 3 คน ไม่ผิดปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ 2389/2548 ที่ ร.ต.ท.จรัญ ธานีรัตน์ อดีตอาจารย์ประจำคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายรังสรรค์ แสงสุข อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง , นายเฉลิมพล ศรีหงส์ อดีตรองอธิการบดี , นางระวิวรรณ ศรีคร้ามครัน อดีตคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ , นายวิรัตน์ แดนราช รองอธิการบดี , นายประสาท สง่าศรี รองอธิการบดี , นายประชา ประยูรพัฒน์ ผอ.กองการกีฬา , นางทิพาพัน ศรีวัฒนศิริกุล หัวหน้างานบุคคล , นายวิริยะ เกตุมาโร รองอธิการบดี , นายวัฒน์ บุญกอบ รองอธิการบดี , นายบุเรง ธนพันธุ์ รองอธิการบดี , นางกัลยา ตัณศิริ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ เป็นจำเลยที่ 1-11 ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
คดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เดิมโจทก์เป็นอาจารย์ประจำคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ทำวิจัยและยื่นผลงานวิจัยกับเอกสารทางวิชาการ เสนอคณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัย เพื่อประกอบการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.)ระดับ 6 โจทก์ได้เสนอเอกสารดังกล่าวผ่านจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ ให้เสนอต่อไปยังจำเลยที่1 ซึ่งเป็นอธิการบดี การพิจารณาดังกล่าวต้องมีการพิจารณากลั่นกรองผลงานของโจทก์ ซึ่งมีพวกจำเลยเป็นกรรมการกลั่นกรอง ต่อมามีผู้กล่าวหาว่าโจทก์ลอกเลียนผลงานทางวิชาการจากบุคคลอื่น จากนั้นได้มีการแต่งตั้งจำเลยที่ 4 เป็นประธานสอบข้อเท็จจริง จำเลยที่ 5, 6, 7 เป็นกรรมการ สรุปการสอบสวนว่าการกระทำของโจทก์ผิดวินัย จึงมีการตั้งจำเลยที่ 8 เป็นกรรมการสอบวินัย และมีจำเลยที่ 9, 10, 11 ร่วมเป็นกรรมการสอบสวน ต่อมากรรมการมีมติให้ปลดโจทก์ออกจากราชการ ซึ่งการกระทำของจำเลยที่ 3-11 เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์และเอาใจจำเลยที่ 1
หลังจากนั้นโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์มติดังกล่าวจากอนุกรรมการ ซึ่งก็เห็นว่าโจทก์มิได้กระทำผิด โจทก์นำมติดังกล่าวไปแจ้งคณะกรรมการชุดใหญ่ กลับเพิกเฉยไม่นำเรื่องเสนอโจทก์กลับเข้ารับราชการทำให้โจทก์เสียหาย
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 6 ส.ค.52 ว่า แม้โจทก์จะถูกกล่าวหาว่าลอกเลียนผลงานทางวิชาการ แต่ก็ได้อ้างอิงแหล่งที่มาไว้ท้ายเล่ม ถือว่าไม่มีเจตนาปกปิด การกระทำของจำเลยที่ 1, 3 และ5 เป็นการเลือกปฏิบัติ ใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ ให้จำคุกจำเลยที่ 1 และ 3 คนละ 2 ปี ปรับคนละ 2 หมื่นบาท ส่วนจำเลยที่ 5 จำคุก 1 ปี ปรับ 1 หมื่นบาท แต่จำเลยเป็นคณาจารย์เป็นผู้ประกอบคุณงามความดีมาก่อน จึงไม่สมควรจำคุกให้รอลงอาญาไว้เป็นเวลา 2 ปี และยกฟ้องจำเลยที่2,4,6,7,8,9,10,11 ต่อมาโจทก์และจำเลยที่ 1, 3, 5, ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ประชุมหารือตรวจสำนวนกันแล้วเห็นว่า ที่จำเลยที่ 1-2 ได้แต่งตั้งจำเลยที่ 4-7 เป็นคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่มีการกล่าวหาว่าโจทก์นำเสนอผลงานวิชาการ ซึ่งโจทก์ได้นำเสนองานวิชาการด้านกีฬาฮอกกี้ มวยสากล และเซปักตะกร้อที่ไม่ใช่เฉพาะนำเสนอแค่กฎระเบียบกติกาของกีฬาประเภทนั้นแล้ว แต่ยังนำเสนอรูปภาพและรายละเอียดอื่นๆ โดยไม่ระบุแหล่งที่มา ซึ่งตามระเบียบต้องให้มีการระบุที่มาไว้ในเชิงอรรถและบรรณานุกรม โดยการตรวจสอบพบว่าโจทก์ได้ระบุแหล่งที่มาไว้เพียงแค่ในบรรณานุกรม การที่จำเลยที่ 4-7 เห็นว่าไม่มีการระบุไว้ในเชิงอรรถด้วยตามระเบียบ และได้สรุปกรณีของโจทก์กระทั่งจำเลยที่ 1 ได้ใช้อำนาจในการแต่งตั้งจำเลยที่ 3 และ 7-11 เป็นคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงก็เป็นไปตามพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย พ.ศ.2507 มาตรา 5 กฎทบวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2519) และพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 มาตรา 22 แล้ว โดยไม่ใช่กรณีที่มีการกลั่นแกล้งตามที่โจทก์กล่าวอ้างและนำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ว่า โจทก์เคยเป็นผู้สนับสนุนบุคคลที่จะสรรหาเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเป็นคู่แข่งกับจำเลยเมื่อปี 2546 และกรณีที่โจทก์ได้ร่วมให้มีการลงชื่อถวายฎีกาคัดค้านการดำรงตำแหน่งของจำเลย ข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่าผู้ที่ร่วมลงชื่อถวายฎีกาในครั้งนั้นยังคงดำรงตำแหน่งเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ใช้อำนาจใดๆ ดำเนินการกับบุคคลเหล่านั้น อีกทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการที่จำเลยที่ 2-11 ได้รับตำแหน่งใดๆ นั้น เป็นการได้มาจากการตอบแทนของจำเลยที่ 1 ที่กลั่นแกล้งสอบสวนโจทก์
พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักรับฟังว่าจำเลยที่ 1-11 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามที่โจทก์ฟ้อง อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1, 3 และ 5 ด้วย ส่วนอื่นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ภายหลัง นายรังสรรค์ อดีตอธิการบดี ม.ราม กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ศาลยกฟ้อง ซึ่งพวกตนปฏิบัติหน้าที่ในรูปแบบของคณะกรรมการสอบวินัย โดยมีผู้ร่วมพิจารณาทั้งหมด 50 คน และตนได้เซ็นตามมติของคณะกรรมการในฐานะประธานฯ เชื่อว่าเรื่องที่ตนถูกฟ้องร้องนั้นมีผู้กลั่นแกล้ง เพราะว่าเป็นคู่แข่งสมัยที่ลงเลือกตั้งอธิการบดีในขณะนั้น นอกจากนี้ ยังมีผู้ไปร้องเรียนว่าตนปฏิบัติหน้าที่มิชอบกับคณะกรรมการป.ป.ช.อีกด้วย เชื่อมั่นในกระบวนการศาลยุติธรรม จึงขอให้จับตาดูคดีระหว่างป.ป.ช.กับตนให้ดี







