เปิดใจ'พงศ์เทพ เทพกาญจนา'รับศึกหนักก.ม.

"การกล่าวหาเรื่องโกงก็กล่าวหาไปทั้งหมด แต่อยากถามว่าประเด็นเหล่านี้จำเป็นสมควรทำหรือไม่ รัฐบาลก็อยากทำให้โปร่งใสที่สุดอยู่แล้ว"
หลังจากปรับครม. "ยิ่งลักษณ์ 5" นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา แม้จะถูกปรับพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และเหลือเพียงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี แต่ก็เป็นไปเพื่อให้มาดูแลงานด้านกฎหมายให้กับรัฐบาลอย่างเต็มตัว เพราะหลังจากนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเกมการเมืองจะแรงขึ้น และการหยิบใช้กฎหมายจะยิ่งมีมากขึ้น รัฐบาลจึงต้องการมือไม้มาทำงานด้าน รวมถึงวันที่ 1 ส.ค.นี้ก็จะเปิดสมัยประชุมสภา ซึ่งจะมีเรื่องด่วน กฎหมายร้อน ที่ดูจะเป็นจุดเสี่ยงของรัฐบาลรอพิจารณาอยู่หลายเรื่อง
"พงศ์เทพ" แจกแจงให้ฟังว่า เปิดสภาสมัยนี้เรื่องที่จะเข้าแน่ๆ คือ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 นอกจากนี้ยังมี ร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ หรือที่เรียกกันว่า พ.ร.บ. กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท และอีกเรื่องคือ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่อยู่ในวาระแรก ซึ่งมีอยู่หลายฉบับ โดยสภาจะหยิบฉบับใดขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่วิปรัฐบาลจะไปหารือกันเช่นเดียวกับ ร่าง พ.ร.บ. ปรองดอง
ส่วนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งสามมาตรา ขณะนี้เสร็จสิ้นในชั้นกรรมาธิการแล้ว และรอการบรรจุเข้าวาระจากประธานรัฐสภา
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายหมายฉบับไหน ฝ่ายที่เห็นต่างก็ตั้งท่าจะคัดค้าน เช่น พ.ร.บ.งบประมาณฯ หรือ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ที่ถูกกล่าวหาว่าโกง ซึ่งเขามองว่า การกล่าวหาบางทีก็เลื่อนลอย การกล่าวหาเรื่องโกงก็กล่าวหาไปทั้งหมด แต่อยากถามว่า ประเด็นเหล่านี้จำเป็นสมควรทำหรือไม่ รัฐบาลก็อยากทำให้โปร่งใสที่สุดอยู่แล้ว
สำหรับเรื่องการจัดวาระลำดับการพิจารณาก่อนหลังนั้น "พงศ์เทพ" ยังคงสงวนท่าที ไม่ตอบให้ชัดเจนว่าจะเอากฎหมายฉบับสำคัญฉบับไหนเข้าก่อน เพราะต่างก็ถูกตั้งข้อสังเกตว่าจะส่งผลกระทบต่อรัฐบาลในสถานะที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน หรือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าจากนี้รัฐบาลต้องผจญกับปัญหาทางกฎหมายและการร้องเรียนมากขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้รัฐบาลลำบากในการบริหารประเทศ รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ถ้าพูดถึงแง่กลไกการบริหารประเทศ วันนี้มีประเด็นทางกฎหมายหยุมหยิมไปหมด หากศาลวางหลักได้ดีและทำหน้าที่อย่างคนกลางก็จะรู้ว่าอะไรควรหยิบขึ้นมาหรือไม่ สักพักเรื่องหยุมหยิมก็จะหมดไป
แต่ต้องยอมรับว่าเดี๋ยวนี้ใช้กฎหมายยากกว่าสมัยก่อน แต่เดิมนักกฎหมาย หากมีความรู้พอสมควร การตีความกฎหมายไม่ค่อยต่างกัน คดีในศาลหากมาถามนักกฎหมายที่มีฝีมือพอจะบอกได้ว่าเป็นอย่างไร ความถูกต้องแม่นยำสูง แต่หลังๆ ไม่สามารถที่จะไปพยากรณ์ได้ว่าผลคดีจะออกมาอย่างไร
"ถ้าใช้กฎหมายตรงไปตรงมา เราก็จะรู้ว่ารัฐบาลควรทำอะไร และตีความได้ว่าอย่างนี้ต้องทำอย่างไร แต่หากเราไม่สามารถใช้หลักการตีความบอกได้ว่าอย่างนี้ทำได้หรือไม่ก็จะเกิดปัญหา ทั้งๆที่เราอยากจะเดินตามกฎหมายใจจะขาด ถ้าใช้หลักกฎหมายสู้คดีเรามั่นใจนะ แต่หลายครั้งเราก็งงว่าออกมาอย่างนี้ได้ไง เราก็ต้องรอบคอบที่สุด"
อีกหนึ่งคดีหลักที่จะเป็นปัญหากับรัฐบาลคือ คำพิพากษาของศาลปกครอง คดีโครงการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งสั่งให้รัฐบาลต้องรับฟังความเห็นของประชาชนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 57 วรรคสอง และ มาตรา 67 เรื่องนี้ "พงศ์เทพ" ตั้งข้อสังเกตว่า ฝ่ายของรัฐบาลไม่มีโอกาสเข้าไปชี้แจงในเนื้อหาของคดีเลย ศาลให้ไปชี้แจงเพียงขั้นตอนไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวฉุกเฉิน จากนั้นก็ตัดสินคดี
"ตามวิธีพิจารณาของศาลปกครองปกติต้องให้คู่ความมีโอกาสแถลงครั้งหนึ่งด้วยซึ่งก็ไม่มี หลายอย่างที่ศาลตัดสินลงไป หน่วยงานก็บอกว่าที่ศาลท่านคิดว่าเป็นข้อเท็จจริง หรือทึกทักเอา เขาก็บอกว่าไม่เห็นด้วยอย่างนั้น ข้อเท็จจริงไม่ใช่ ซึ่งถ้าท่านถามเขาเขาก็บอกได้ แต่เมื่อไม่เคยมีการให้เข้าไปแถลงหรือให้ถาม ท่านก็อาจจะเข้าใจของท่านอย่างหนึ่ง ฝ่ายคู่ความไม่มีโอกาสบอกเลย เช่น การรับฟังความคิดเห็น ถ้าหน่วยงานถามเขา เขาก็จะบอกได้ว่าระหว่างนี้ยังไม่มีข้อมูลอะไรชัดเจนจะไปรับฟังเลย และรับฟังอย่างไร"
แต่เมื่อถูกแย้งว่า เมื่อยังไม่มีอะไรแต่กลับจะไปเซ็นสัญญา "พงศ์เทพ" ชี้แจงว่า ข้อมูลที่รับฟังตั้งแต่แผนแม่บท ยังไม่มีอะไรชัดเจนว่าจะทำอะไรตรงไหน และจะไปฟังความเห็นจากประชาชน ตามมาตรา 57 วรรคสอง ซึ่งมีระเบียบสำนักนายกฯ
รองรับว่าต้องชัดเจนว่าทำอะไรอย่างไร ถึงจะรู้ว่าใครถูกผลกระทบบ้างและจะไปฟังใคร เช่น จะสร้างสักเขื่อน แต่ก็ยังไม่บอกว่าอยู่ตรงไหนแล้วจะไปฟังใคร มันก็ต้องมีชัดเจนก่อน และมีมติครม.ให้ไปรับฟังความเห็นแล้วช่วงเดือนส.ค.-ก.ย. โดยสำนักปลัดสำนักนายกฯ จะไปดำเนินการ
"เรื่องการทำอีไอเอ เอชไอเอ ต้องทำอยู่แล้ว พวกนั้นใช้เวลาในการศึกษาผลกระทบแตกต่างกันตามความยากง่าย โดยอีไอเอ ถูกกำหนดไว้ว่าโครงการไหนต้องทำบ้าง ไม่ใช่ทั้งหมด ที่เขากำหนดเป็นโมดูล มีบางแผนงานที่ต้องทำอีไอเอ เอชไอเอ ตาม 67 วรรคสอง บางโครงการไม่ต้องทำเลย หากเซ็นสัญญาเสร็จ ส่วนไหนที่ไม่ต้องทำก็เดินหน้าไปได้เลย"
ขณะที่เรื่อง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย โดย นายคณิต ณ นคร ออกมาให้ความเห็นว่าจะขัดกับรัฐธรรมนูญนั้น "พงศ์เทพ" กล่าวว่า สิ่งที่ท่านให้มามีเหตุผลอะไรหนักแน่น นักวิชาการเห็นต่างกันเยอะ ยืนยันว่าเรากลั่นกรองมาอย่างดีที่สุด ตอนที่ยกร่างเข้าไปกฤษฎีกาก็ดูอย่างรอบคอบ
และที่บอกว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ที่ระบุว่าการใช้เงินแผ่นดินต้องออกเป็นกฎหมายการเงินสี่ประเภทเท่านั้น แต่มาตรานี้เขาเขียนมาอย่างนี้ตั้งนานแล้ว มี พ.ร.ก. และ พ.ร.บ.แบบนี้ออกใช้กันมาหลายฉบับในหลายรัฐบาลแล้ว และไม่เคยมีปัญหาว่าขัดรัฐธรรมนูญ เช่น ตอนกู้เงินขณะเกิดภาวะวิกฤติต้มยำกุ้ง หรือโครงการไทยเข้มแข็ง ที่เป็น พ.ร.ก.ด้วยซ้ำไปใช้ถ้อยคำเหมือนกัน
เมื่อถูกถามย้ำว่าหากศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้ผ่านจะมีปัญหาหรือไม่ "พงศ์เทพ" ตอบอย่างหนักแน่นว่า "ผมไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะเป็นปัญหา เพราะเขาถือกันมาตลอดว่าเป็นกรณีที่เขียนกฎหมายมาใช้ได้ ผมไม่ถ้าในสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นหรอก กรณีนี้ไม่หนักใจเลย"




