ไต่สวนคดี'6ศพวัดปทุม'วิถีกระสุนทหารยิง

นัดฟังคำสั่งชันสูตรศพสำนวนที่10"6ศพวัดปทุม"6ส.ค.หลังไต่สวนพยาน3ปากสุดท้าย แจงบวิถีกระสุนทหารยิงจากรางรถไฟฟ้าบีทีเอส
ศาลนัดไต่สวนคำร้องชันสูตรการเสียชีวิต 6 ศพวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร คดีหมายเลขดำที่ ช.5/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 ยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนการตายของนายสุวัน ศรีรักษา อายุ 30 ปี เกษตรกร , นายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี บัณฑิตคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง , นายมงคล เข็มทอง อายุ 36 ปี เจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง , นายรพ สุขสถิต อายุ 66 ปี พนักงานขับรถรับจ้างในสนามบิน , น.ส.กมนเกด อัคฮาด อายุ 25 ปี พยาบาลอาสา และนายอัครเดช ขันแก้ว อาชีพรับจ้าง ผู้เสียชีวิตที่ 1- 6 ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตภายในวัดปทุมวนาราม ฯ ใกล้แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 ช่วงการขอคืนพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในยุคที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกกลุ่ม นปช.กดดันให้นายอภิสิทธิ์ ยุบสภา
โดยในวันนี้อัยการ ผู้ร้อง นำ พ.ต.ท.ธัชชัย บุญเพ็ง พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ สน.จักรวรรดิ ในฐานะหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน คดีผู้เสียชีวิตทั้ง 6 รายภายในวัดปทุม ฯ จากเหตุชุมนุม นปช.เมื่อปี 53 และ ร.ต.ท.ภาณุพันธ์ ประเสริฐ รอง สว.ฝ่ายแต่งตั้งกองทะเบียนพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะพนักงานสอบสวน ฯ ขึ้นเบิกความต่อศาลสรุปว่า เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 53 เวลา 11.30 น. พยานได้รับแจ้งเหตุมีผู้เสียชีวิตภายในบริเวณวัดปทุม ฯ จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ แล้วพยานเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุโดยใช้เส้นทางถนนพระราม 4 ที่ได้ขออนุญาตเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อเข้าพื้นที่ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ปิดและเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้รับคำสั่งให้เข้าไปควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ โดยพยานทั้งสองถึงพื้นที่เกิดเหตุเวลา 12.30 น. ซึ่งศพทั้ง 6 รายถูกวางเรียงกันหน้าศาลาธรรมศรัทธาภายในวัด ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมก็ได้มาเก็บหลักฐานและตรวจเขม่าดินปืนจากศพ จากนั้นพยานแจ้งให้สหวิชาชีพมาตรวจพิสูจน์ศพและนำศพทั้งหมดย้ายไปยังสถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ เพื่อทำการชันสูตรศพอย่างละเอียด และภายหลังได้ทำสำนวนการเสียชีวิตซึ่งได้มีการรวบรวมหลักฐานจากพยานบุคคล 16 ปาก แล้วส่งสำนวนการสอบสวนไปให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
แต่ต่อมาดีเอสไอส่งสำนวนการเสียชีวิตบุคคลกลับมาให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล ก่อนจะส่งให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมเนื่องจากยังสำนวนมีคดีการเสียชีวิตของบุคคลอื่นอีก ภายหลัง บชน.จึงได้ส่งสำนวนกลับไปให้ดีเอสไออีกครั้ง กระทั่งดีเอสไอได้สอบสวนพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารที่เห็นเหตุการณ์ จนสรุปได้ว่าการตายทั้ง 6 ศพ เกิดจากการกระทำของทหารที่อ้างว่าได้รับคำสั่งจาก ศอฉ.ให้เข้ามากระชับพื้นที่ ซึ่งดีเอสไอ ได้ส่งเอกสารยืนยันการเสียชีวิตมาให้ บชน.วันที่ 19 ก.ย.53 จากนั้น สตช.และ บชน.ได้แต่งตั้งพ.ต.ท.ธัชชัย บุญเพ็ง เป็นหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานคดีนี้ ซึ่งจากการสืบสวนสอบสวนพยานบุคคล 111 ปาก และพยานเอกสารรับฟังได้ว่าการเสียชีวิตทั้ง 6 ศพ เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหาร จากผลการตรวจคราบเขม่าดินปืนของกองพิสูจน์หลักฐาน สตช.ไม่พบว่าผู้ตายทั้ง 6 ศพมีคราบเขม่าดินปืนติดแต่อย่างใด ต่อมาพยานได้ส่งสำนวนเพื่อให้อัยการยื่นคำร้องไต่สวนการเสียชีวิตเพื่อสรุปสาเหตุการตาย
ขณะที่ พ.ต.ท.ธัชชัย ยังได้เบิกความเกี่ยวกับรายละเอียดการตรวจเก็บหลักฐานและวิถีกระสุนว่า ในการรวบรวมหลักฐานพบว่า วันที่ 19 พ.ค.53 มีนำกำลังทหารจากกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหาราบที่ 31 รวมทั้งสิ้น 160 นายปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่บริเวณวัดปทุม ฯ จนถึงแยกเฉลิมเผ่า และเมื่อเวลาประมาณ 13.00 น.เศษ แกนนำ นปช.ได้ประกาศยุติการชุมนุมและให้ผู้ชุมนุมเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือเข้าไปพักที่วัดปทุม ฯ ที่เป็นเขตอภัยทาน โดยใช้เส้นทางพระราม 1 ผ่านวัดปทุม ฯ จนถึงสนามกีฬาศุภชลาศัย จึงมีผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งเข้าไปอาศัยหลบภัยที่วัดปทุม ฯ กระทั่งเวลา 17.00 น.เศษ ตำรวจที่ประจำอยู่ สตช.เห็นทหารมาปฏิบัติหน้าที่บริเวณรางรถไฟฟ้าบีทีเอส 7 นายและด้านล่างสถานีอีก 6 นาย รวมเป็น 13 นาย จากนั้นนายธวัช แสนพรหม ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์มาเล่าให้พยานฟังว่า ขณะยืนอยู่ภายในวัดปทุม ข้างรั้วด้านติดห้างสยามพารากอน ซึ่งกำแพงสูงท่วมหัว แต่ได้เห็นทหารเล็งปืนมา จึงเดินไปหลบหลังอาคารมูลนิธิพระบรมชนก และเมื่อมองไปด้านขวาห่างจากที่ยืนอยู่ประมาณ 15 เมตร เห็นกระสุนยิงนายสุวัน ผู้ตายที่ 1 ล้มลงขณะเข้าห้องน้ำ ส่วนนายอัฐชัย ผู้ตายที่ 2 มีช่างภาพชาวต่างประเทศ เห็นว่านายอรรถชัย วิ่งมาจากแยกเฉลิมเผ่าพร้อมเพื่อนอีก 2 คนมุ่งเข้าสู่วัดปทุม ฯ ซึ่งนายอรรถชัย ถูกกระสุนยิงเข้ากลางหลังทะลุหน้าอก ล้มลงต่อหน้า แล้วเพื่อนๆ พยายามนำร่างนายอรรถชัยไปปฐมพยาบาล ซึ่งช่างภาพชาวต่างประเทศดังกล่าวได้บันทึกภาพวีดีโอเหตุการณ์หลังจากนายอรรถชัย ถูกยิงไว้ และภายหลังได้มีการนำชี้จุดเกิดเหตุพบว่าห่างจากแยกเฉลิมเผ่าประมาณ 100 เมตร ซึ่งคำให้การของช่างภาพดังกล่าวสอดคล้องกับคำให้การของเพื่อนผู้ตายอีก 2 คนที่วิ่งหนีมาด้วยกัน โดยผู้ตายที่ 1 ถูกยิงเมื่อเวลาประมาณ 17.40 น. ส่วนผู้ตายที่ 2 ถูกยิงเมื่อเวลาประมาณ 17.49 น.
ต่อมาพยาน ได้สอบสวน หนึ่งในเจ้าหน้าที่ทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหาราบที่ 31 ยอมรับว่าเป็นผู้ใช้อาวุธปืนทราโว่ ยิงไปที่บริเวณพระราม 1 จำนวน 4 นัด แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้ยิงนายสุวัน ผู้ตายที่ 1 และนายอัฐชัย ผู้ตายที่ 2 สำหรับนายมงคล ผู้ตายที่ 3 และนายรพ ผู้ตายที่ 4 นั้นจากการสอบสวนพบว่าเสียชีวิตในช่วงค่ำของวันที่ 19 พ.ค.โดยนายอุดร วรรณสิงห์ ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ระบุว่า ขณะหลบเสียงปืนอยู่ที่ใต้สะพาน SKY WALK ของบีทีเอส เห็นผู้ตายที่ 3-4 ยืนอยู่ภายในวัดปทุมฯ ตรงประตูทางออก ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังมาจากรางรถไฟฟ้าแล้วยิงผู้ตายทั้งสอง แล้วเมื่อเสียงปืนสงบลงจึงมีคนนำร่างทั้งสองไปปฐมพยาบาลในเต้นท์ภายในวัดจากนั้นประมาณ 5 นาที มีเสียงปืนยิงเข้ามาในเต้นท์ปฐมพยาบาลแล้วพบว่า น.ส.กมนเกด ผู้ตายที่ 5 ถูกยิงล้มลง ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การของผู้ที่เห็นเหตุการณ์อีก 1 ปากที่เห็นวิถีกระสุนมาจากทางรางไฟฟ้ายิงขณะผู้ตายที่ 5 ก้มศีรษะหลบ ซึ่งผู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวได้ถ่ายภาพเคลื่อนไหวไว้ด้วย โดยที่คาดว่าเวลาผู้ตายที่ 3-4 ถูกยิงช่วงประมาณ 18.13 น. ส่วนผู้ตายที่ 5 ถูกยิงช่วงประมาณ 18.18 น. และจากคำให้การของเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน สตช. ระบุว่า วิถีกระสุนที่ยิงนายรพ ผู้ตายที่ 4 มาจากรางรถไฟฟ้า นอกจากนี้ยังพบเศษกระสุนขนาด .223 ชนิดหัวเขียว เอ็ม 855 ซึ่งใช้กับอาวุธปืนเอ็ม 16 รุ่น เอ 2ในร่างของนายสุวัน ผู้ตายที่ 1 , นายมงคล ผู้ตายที่ 3 , นายรพ ผู้ตายที่ 4,น.ส.กมนเกด ผู้ตายที่ 5 และนายอัครเดช ผู้ตายที่ 6 ขณะที่พบว่าวิถีกระสุนยิงจากบนลงล่าง สอดคล้องกับคำให้การของเจ้าหน้าที่ทหาร 7 นายที่ประจำการบนรางรถไฟฟ้าว่ามีการเบิกอาวุธปืนขนาดดังกล่าวมาใช้ปฏิบัติหน้าที่ด้วย ส่วนการตรวจพิสูจน์ศพนายอัฐชัย ผู้ตายที่ 2 ไม่พบเศษกระสุนปืนในร่างเพราะวิถีกระสุนยิงจากแนวราบ โดยจากการสอบพยานพบว่าได้มีการลำเลียงผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ราย มาอยู่ที่บริเวณหน้าศาลาธรรมศรัทธา ซึ่งในวันที่ 19 พ.ค. ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่บริเวณวัดปทุมฯและบริเวณโดยรอบแต่อย่างใด
ขณะที่ น.ส.ดุษฎี งามขำ อายุ 58 ปี กลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ขึ้นเบิกความเป็นพยานปากสุดท้าย ระบุว่า ช่วงบ่ายวันที่ 19 พ.ค.53 หลังจากที่แกนนำ ประกาศยุติการชุมนุมและมอบตัวที่ สตช.แล้ว พยานยังอยู่บริเวณหน้าเวทีปราศรัยตรงแยกราชประสงค์ ระหว่างนั้นเห็นกำลังทหารเคลื่อนมาจากถนนเพลินจิต โดยมีทหารเข้ามาพูดคุยกับพยานเพื่อให้ออกจากพื้นที่ แต่พยานยังไม่ยอม กระทั่งก่อน 18.00 น. มีล่ามแปลภาษาของผู้สื่อข่าวต่างประเทศได้ชวนพยานออกจากพื้นที่เพราะเกรงว่าจะผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ พยานจึงตัดสินใจออกไปพร้อมกับล่าม โดยเปลี่ยนจากเสื้อสีแดงเป็นใส่เสื้อสีขาวแทน แต่เนื่องจากบริเวณแยกเฉลิมเผ่า มีเจ้าหน้าที่ทหารอยู่จำนวนหนึ่งพยานจึงไม่กล้าเดินผ่าน โดยตัดสินใจเดินทางออกไปผ่านเส้นทางถนนเพลินจิตแทน กระทั่งบ่ายวันที่ 20 พ.ค.กลุ่มน้องสาวพยานที่หลบอยู่ภายในวัดปทุมฯ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. เดินทางกลับมาและเล่าให้ฟังว่า ขณะอยู่ภายในวัดปทุมฯนั้น ทหารได้ยิงแก๊สน้ำตาเข้าไปในวัดและยิงกระสุนปืนเข้าไปในวัดด้วย ทำให้มีผู้เสียชีวิตแต่พยานไม่ได้เห็นเหตุการณ์ภายในวัดปทุมฯ ในช่วงเวลาดังกล่าว
ภายหลังไต่สวนพยานเสร็จ 3 ปาก ทั้งอัยการและทนายความญาติผู้เสียชีวิต แถลงหมดพยานไต่สวน ศาลจึงนัดฟังคำสั่งชี้สาเหตุการเสียชีวิตทั้ง 6 ศพ ในวันที่ 6 ส.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
ด้านนายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความของญาติผู้เสียชีวิต กล่าวว่า สำหรับคดีนี้ได้ไต่สวนพยานประมาณ 40-50 ปาก ประกอบด้วยกลุ่มแกนนำและผู้ชุมนุม รวมทั้งญาติผู้ตาย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ผอ.ศอฉ. เจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทีมแพทย์ ซึ่งการไต่สวนพยานถือว่าดำเนินการโดยครบถ้วนและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งตนมั่นใจในพยานหลักฐานที่ครบถ้วนสมบูรณ์และชัดเจน โดยคาดว่าศาลจะมีคำสั่งตามเนื้อหาคำร้องว่า การเสียชีวิตเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่สำนวนการชันสูตรพลิกศพที่เสียชีวิตในวัดปทุมฯ ทั้ง 6 ราย ถือเป็นสำนวนที่ 10 ซึ่งศาลจะมีคำสั่งภายหลังที่ได้วินิจฉัยเหตุการเสียชีวิตของนายฟาบิโอ โปเลงกี ช่างภาพชาวอิตาลี สำนวนที่ 9 ไปเมื่อวันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ทั้งศาลอาญากรุงเทพใต้ และศาลอาญา มีคำสั่งชี้สาเหตุการตายของผู้ที่ร่วมชุมนุม และเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ระหว่างการชุมนุมปี 53 มาแล้วทั้งสิ้น 8 รายประกอบด้วย นายพัน คำกอง ( ถูกยิง ถ.ราชปรารภ 14 พ.ค.53 ) , ด.ช. คุณากร ศรีสุวรรณ (ถูกยิง ถ.ราชปรารภ วันที่ 14 พ.ค.53 ) , นายมานะ อาจราญ (ถูกยิงในสวนสัตว์เขาดิน วันที่ 10 เม.ย.53) , พลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ สาละ (ถูกยิงอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ดอนเมือง วันที่ 28 เม.ย.53 ) , นายชาติชาย ชาเหลา ( ถูกยิง ถ.พระราม 4 วันที่ 13 พ.ค.53 ) , นายบุญมี เริ่มสุข (ถูกยิง ถ.พระราม 4 วันที่ 14 พ.ค.53 ) , นายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง ( ถูกยิง ถ.พระราม 4 วันที่ 14 พ.ค.53 ) และ นายชาญณรงค์ พลศรีลา ( ถูกยิง ถ.ราชปรารภ วันที่ 15 พ.ค.53 ) จากสำนวนที่ขณะนี้มีการยื่นคำร้องต่อศาลอาญากรุงเทพกรุงเทพใต้ และศาลอาญาแล้วทั้งสิ้น 24 ราย ซึ่งคดีที่ยังอยู่ระหว่างการไต่สวนชันสูตรพลิกศพของศาล 9 ราย ประกอบด้วย นายวสันต์ ภู่ทอง , นายสยาม วัฒนนุกุล , นายจรูญ ฉายแม้น , นายฮิโรยูกิ มูราโมโต้ (Hiroyuki Muramoto) และนายทศชัย เมฆงามฟ้า ที่ถูกยิง ถ.ดินสอ วันที่ 10 เม.ย.53 , นายพรสวรรค์ นาคะไชย และ นายมานะ แสนประเสริฐศรี ที่ถูกยิง ถ.พระราม 4 วันที่ 15 พ.ค.53 , นายประจวบ ประจวบสุข และ นายเกียรติคุณ ฉัตร์วีระสกุล ที่ถูกยิง ถ.พระราม 4 วันที่ 16 พ.ค.53




