สืบจำเลยนัดแรกปล้นบ้านอดีตปลัด'สุพจน์'

สืบจำเลยนัดแรกปล้นบ้านอดีตปลัด'สุพจน์'

สืบจำเลยนัดแรก ปล้นบ้านอดีตปลัดคมนาคม"สุพจน์ ทรัพย์ล้อม" เผยวางแผนตั้งแต่ต้น ต.ค.54 ล้มหลายครั้งคนไม่พร้อม ปล้นจริง 12 พ.ย.

ศาลนัดสืบพยานจำเลยครั้งแรก คดีปล้นบ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม คดีดำ อ.347/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 และนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสิงห์ทอง หรือ เสธ.ไก่ ใจชมชื่น ,นายเสาร์แก้ว นามวงค์ , นายสมบูรณ์ หรือบูรณ์ ริยะเทน , นายบุญสืบ หรือสืบ โจมกัน , นายวุฒิชัยหรือวุฒิ พันธวารี, นาย วณัญกฤต หรือจ่อย บุตรกันหา , นายประพันธ์ เรียงเครือ , นายชยธัช หรือ เอก จันนะชัย และน.ส.วาสนา สาเพิ่มทรัพย์ เป็นจำเลยที่ 1 - 9 ในความผิดฐาน ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ โดยใช้ยานพาหนะ ,ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง กระทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพฯ , ร่วมรับของโจร และร่วมกันพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 , 34 0 , 357 , 365 และ 371 กรณีเมื่อวันที่ 12 ก.พ. - 23 พ.ย. 54 เวลากลางคืน จำเลยกับพวกร่วมกัน บุกรุกเข้าไปในบ้านของนายสุพจน์ ผู้เสียหาย ที่ ซ.ลาดพร้าว 62เขตวังทองหลาง แล้วลักเงินสดจำนวน 18,121,000 บาท ไป ซึ่งคดีนี้ยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 9 ก.พ.55

โดยวันนี้ศาลเบิกตัวนายสิงห์ทอง หรือเสธ.ไก่ จำเลยที่ 1 มาจากเรือนจำเพื่อเบิกความเป็นพยานจำเลยปากแรก สรุปว่า ก่อนเกิดเหตุ พ.ย. 54 จำเลยขับรถแท็กซี่และเช่าห้องอยู่ย่านเขตวัฒนา โดยช่วงเดือน ต.ค.54 ได้พูดคุยโทรศัพท์กับ จ่านุ ชื่อเล่นของเพื่อนที่เป็นตำรวจเก่ารู้จักกันประมาณ 4-5 เดือน ซึ่งจ่านุ ได้นัดเจอ พร้อมกับพวกที่มาจาก จ.เพชรบุรีอีก 2 คน และชวนให้ไปอุ้มคน ซึ่งจำเลยก็รับปากทำเนื่องจากขณะนั้นรายได้ไม่พอใช้จ่าย จากนั้นจ่านุ พาจำเลยกับพวกไปดูบ้านเป้าหมาย ภายในซอยลาดพร้าว 62 ซึ่งขณะนั้นไม่รู้ว่าเป็นบ้านของใคร โดยจ่านุ ยังเช่าอพาร์ทเม้นท์ ภายในซอยลาดพร้าว 64 ให้จำเลยกับพวกพักอยู่ด้วย แต่ปรากฏว่าแผนการดังกล่าวไม่สามารถลงมือได้ เนื่องจากขณะนั้น จ่านุบอกว่าไม่มีอาวุธและคนไม่พอจึงล้มเลิกไป ซึ่งระหว่างปลายเดือน ต.ค. - ต้นเดือน พ.ย.54 ได้มีการวางแผนดำเนินการที่บ้านหลังเดิมอีกหลายครั้ง แต่ปรากฏว่าต้องล้มเลิกไปเพราะไม่พร้อมทั้งเรื่องจำนวนคน และรถที่จะใช้ กระทั่งประมาณวันที่ 6-7 พ.ย.54 นายวีระศักดิ์ ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกัน ได้โทรศัพท์แจ้งจำเลยว่าจะดำเนินการอุ้มอีก แต่จำเลยคิดว่าทำไมอุ้มไม่ได้ซักที นายวีระศักดิ์ จึงบอกว่าการอุ้มไม่ใช่อุ้มคนแต่เป็นการขนถุงเงิน ซึ่งจำเลยก็รับจะทำ จึงได้มีการนัดเจอกันกับพวกอีกหลายคนที่ปั๊มน้ำมัน บริเวณเลียบทางด่วนรามอินทรา เพื่อจะจัดหารถตู้ที่จะใช้ก่อเหตุ

จากนั้นประมาณวันที่ 10 พ.ย.ได้เจอกันกับนายณัฐพล ไม่ทราบนามสกุล และพวกอีก 3-4 คน ที่ระบุว่าพร้อมจะลงมือดังกล่าวและมีการเตรียมนำเครื่องมือตัดสัญญาณโทรศัพท์และวงจรปิด 3 เครื่องมาไว้สำหรับดำเนินการดังกล่าวด้วย และขณะที่ระหว่างวางแผนดังกล่าว จำเลยได้ติดต่อกับพี่ชายเพื่อหาคนมาช่วยงาน จึงได้รู้จักกับจำเลยที่ 2 ( นายสมบูรณ์ หรือบูรณ์ ริยะเทน) ที่รู้จักกับจำเลยที่ 3 อีกที (นายบุญสืบ หรือสืบ โจมกัน) แล้วชวนให้มาช่วยงานกันทั้งสองก็ได้เดินทางมาจาก จ.เชียงรายเพื่อมาร่วมงานกันในวันที่ 11 พ.ย. แต่สุดท้ายแผนการนั้นยังไม่ได้ดำเนินการ กระทั่งเช้าวันที่ 12 พ.ย. นายวีระศักดิ์ ได้เจอจำเลยที่โรงแรมที่พัก บริเวณ ซ.ปรีดี ฯ 45 พร้อมแจ้งว่าให้รอฟังคำสั่งนายที่เป็นนักการเมืองระดับชาติก่อนซึ่งสุดท้ายได้มีการเปลี่ยนแผนจากเดิมที่จำเลย กับพวกอีก 3 คนจะไปเป็นคนขนเงิน จำเลยไปเป็นทีมคอยคุ้มกัน ขณะที่จะมีทีมดูต้นทางด้วย

โดยนายวีระศักดิ์ ยังแจ้งจำเลยว่าหากถูกจับได้ให้จำเลยรับสารภาพ และประโคมข่าวให้ดังว่ามีเงินเยอะในบ้าน แล้วถ้าถูกจับจะจัดหาทนายความช่วยเหลือการประกันตัวและจะพาออกไปประเทศลาว พร้อมกับมอบถุงเงินที่บรรจุธนบัตร 1,000 บาท 2 มัดที่นายวีระศักดิ์บอกว่าเป็นเงิน 2 ล้านให้จำเลยเป็นค่าจ้าง เมื่อจำเลยรับมาแล้วกลับไปที่ห้องพักตัวเองพบกับจำเลยที่ 2-3 ก็ไม่ได้แจ้งเรื่องนี้ให้รู้แต่อย่างใด กระทั่งช่วงบ่าย นายวีระศักดิ์ ขับรถกระบะโตโยต้า สีบรอนซ์ทองมารับจำเลยที่ 2-3 ออกไป โดยจำเลยที่ 2-3 กลับที่ห้องอีกครั้งเวลาประมาณ 20.00 น. เศษ แต่จำเลยทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรกับจำเลย และจำเลยก็ไม่ได้สอบถามอะไรด้วย ส่วนเงิน 2 ล้านที่จำเลยได้มาจากนายวีระศักดิ์นั้น ได้มอบให้ น.ส.วาสนา สาเพิ่มทรัพย์ จำเลยที่ 9 ที่เป็นแฟนของจำเลยไปเมื่อวันที่ 12 พ.ย. และอีก 300,000 บาท ให้แฟนสาวของพยานอีกคนหนึ่ง ซึ่งจำเลยถูกตำรวจจับกุมช่วงเช้าวันที่ 15 หรือ 16 พ.ย.ขณะที่พักอยู่ภายในอพาร์ทเมนท์ ระหว่างถูกนำตัวไป บช.น.จำเลยถูกคุมหน้า และถูกตบด้วยปืนที่บริเวณกกหูด้านซ้าย ระหว่างที่ถูกถามว่าได้ไปทำอะไรมาหรือไม่แล้วจำเลยตอบว่าไม่ได้ทำอะไร โดยเมื่อถึง บช.น.มีเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสารวัตร ถามว่าโดนทำร้ายหรือไม่ แก้มซ้ายไปโดนอะไรมา แต่จำเลยตอบว่าหน้ากระแทกกับรถ ไม่ได้โดนทำร้ายและเมื่อถูกสอบสวนจำเลยก็รับว่าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมปล้น และได้เงินไป 200 ล้านบาท และยังเหลือภายในบ้านอีก 700 - 1,000 ล้านบาท ขณะที่ระหว่างถูกสอบสวนกลับไม่มีทนายความมาช่วยดูแลแต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้อัยการโจทก์ ได้สืบพยานไปทั้งสิ้น 8 นัด ร่วม 20 ปาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่และพนักงานสอบสวน ขณะที่นายสุพจน์ อดีตปลัดคมนาคม ผู้เสียหายที่ได้เป็นโจทก์ร่วม ก็ได้เบิกความเป็นพยานไปแล้ว