ศาลปกครองตัดสินคดีสารตะกั่วห้วยคลิตี้วันนี้

ศาลปกครองตัดสินคดีสารตะกั่วห้วยคลิตี้วันนี้

ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีปล่อยสารตะกั่วลงลำห้วยคลิตี้วันนี้(10 ม.ค.)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลปกครองกลาง นัดอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีลำห้วยคลิตี้ ซึ่งนายยะเสอะ นาสวนสุวรรณ ที่ 1 กับพวกรวม 22 คน ผู้ฟ้อง กับ กรมควบคุมมลพิษ ผู้ถูกฟ้อง เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.597/2551 เรื่องการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการปฎิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร กรณีที่ผู้ฟ้องระบุว่า กรมควบคุมมลพิษไม่ตรวจสอบการประกอบกิจการบริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตามที่ผู้ฟ้องร้องขอ เนื่องจากบริษัทฯ ปล่อยน้ำเสียซึ่งมีสารตะกั่วเจือปนในลำห้วยคลิตี้ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเหตุให้ผู้ฟ้อง และราษฎรได้รับความเสียหาย โดยขอให้ผู้ถูกฟ้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายเข้าดำเนินการกำจัดมลพิษและฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ โดยเรียกค่าใช้จ่ายจากบริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ฯ ผู้ก่อมลพิษในภายหลัง และกำหนดมาตรการที่เหมาะสมในการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของราษฎรในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

โดยศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 6 พ.ค. 51 ว่า นับแต่มีการปนเปื้อนของสารตะกั่วในลำห้วยคลิตี้ ผู้ถูกฟ้องได้เข้าสำรวจและเก็บตัวอย่างน้ำ ดินและตะกอนดินท้องน้ำมาตรวจสอบจนถึงปัจจุบัน พบว่าระยะแรกมีการปนเปื้อนของสารตะกั่วสูงเกินมาตรฐาน เมื่อมีการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการต่างๆ ผลการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างมีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นต่อทรัพยากรน้ำและดินในบริเวณพิพาทโดยนับตั้งแต่เกิดเหตุจนกระทั่งถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี

แต่ผู้ถูกฟ้องมิได้ดำเนินการประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด แม้ต่อมาผู้ถูกฟ้องจะมีหนังสือลงวันที่ 7 ธ.ค. 50 ชี้แจงต่อศาลว่าอยู่ในระหว่างดำเนินการประเมินค่าเสียหายก็ตามแต่ก็เป็นการดำเนินการหลังจากที่ผู้ฟ้องนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลและศาลออกนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกแล้ว กรณีจึงฟังได้ว่า ผู้ถูกฟ้องละเลยต่อหน้าที่ในการเรียกค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทฯ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติ จึงพิพากษาว่าผู้ถูกฟ้องละเลยต่อหน้าที่กรณีไม่ดำเนินการเรียกค่าเสียหายหรือ ค่าสินไหมทดแทนจากบริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และปฏิบัติหน้าที่ในการฟื้นฟูหรือระงับการปนเปื้อนของสารตะกั่วล่าช้าเกินสมควร และให้ผู้ถูกฟ้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องทั้ง 22 คนแต่ละรายเป็นเงิน 33,783 บาท รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 743,226 บาท ภายใน 90 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุดส่วนค่าธรรมเนียมศาลให้คืนแก่ผู้ฟ้อง ตามส่วนแห่งการชนะคดี

ทั้งนี้ ผู้ถูกฟ้องได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 51 และผู้ฟ้องได้ยื่นอุทธรณ์ คำพิพากษาทางไปรษณีย์ ลงวันที่ 5 มิ.ย. 51 และศาลปกครองสูงสุด ได้นั่งพิจารณาคดีครั้งแรก เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 55