10 เหตุการณ์การเมืองไทยปี68 '3 ก๊ก'ประลองกำลัง-หักเหลี่ยมโหด

10 เหตุการณ์การเมืองไทยปี68 '3 ก๊ก'ประลองกำลัง-หักเหลี่ยมโหด

10 เหตุการณ์ทางการเมืองที่สุดแห่งปี 2568 จบลงด้วยการยุบสภา ล้างกระดานการเมือง นับหนึ่งผ่านการเลือกตั้ง "กรุงเทพธุรกิจ" ย้อนฉากห้ำหั่นทางการเมืองตลอดปีของ 3 พรรค

KEY

POINTS

  • การเมืองไทยปี 2568 เป็นการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจระหว่าง 3 พรรคการเมืองหลัก  พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาชน
  • "แพทองธาร ชินวัตร" ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมากจากกรณีคลิปเสียงสนทนากับผู้นำกัมพูชา ซึ่งนำไปสู่การพลิกขั้วรัฐบาลในเวลาต่อมา
  • "อนุทิน ชาญวีรกูล" หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ท่ามกลางข้อตกลงแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน ที่สุด "อนุทิน"ต้องประกาศยุบสภา ก่อนฝ่ายค้านจะชิงยื่นปิดเกมผ่านญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
  • "ทักษิณ ชินวัตร" ต้องเดินเข้าสู่เรือนจำ เผชิญบ่วงนิติสงครามอีกครั้ง หลังศาลฎีกา ชี้ว่าการพักรักษาตัวนอกเรือนจำไม่ชอบด้วยกฎหมาย และยังต้องเผชิญคดี ม.112 ที่เป็นอุปสรรค

ตลอดปี 2568 การเมืองไทยวนเวียนกับศึกหักเหลี่ยม คมเฉือนคม ชิงนำทางการเมืองในหมู่พรรคการเมือง 3 ก๊กระหว่าง “เพื่อไทย-ภูมิใจไทย-ประชาชน” กลายเป็นศึกประลองกำลังทางการเมือง เป็นสัญญาณส่อให้เห็นว่า การเมืองไทยในรัฐสภาน่าจะจบลงไม่เกินสิ้นศักราช ด้วยการยุบสภา

เพียงแต่คนการเมืองวิเคราะห์ในช่วงต้นปีว่ายังเชื่อมั่นว่า จะเป็นนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยอยู่ยาวจนถึงสิ้นปี เกมการเมืองพลิกผันเพียงไม่กี่เดือน จากที่ “พรรคเพื่อไทย”ได้เปรียบเชิงกระแสผ่านตัวนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ในช่วงต้นปี

ขณะที่ “ทักษิณ ชินวัตร” แสดงพลังทางการเมืองผ่านบทบาทผู้นำจิตวิญญาณพรรคเพื่อไทย เสมือนเป็นนายกฯ ตัวจริง กระทั่งฉากทัศน์การเมืองส่อเค้าแตกหักกันในช่วงกลางปี เมื่อ พรรคเพื่อไทยตัดสินใจหักดิบยึดกระทรวงมหาดไทยจากพรรคครูใหญ่

ตามด้วยมรสุมรุมเร้าจากข้อพิพาทชายแดนแถบอีสานใต้ เมื่อเพื่อนบ้านอย่าง “กัมพูชา” เล่นบทกระแสชาตินิยม คลั่งชาติเปิดฉากโจมตีไทยก่อน ตามด้วยคลิปสนทนาที่สั่นคลอนเก้าอี้นายกฯ ในที่สุด

10เหตุการณ์เดือด ระทึก ฉาว หักเหลี่ยมโหด เพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐเกิดขึ้นทุกขณะจนกระทั่งถึงเดือนสุดท้ายแห่งปี “กรุงเทพธุรกิจ” ได้รวบรวม 10 เหตุการณ์ที่สุดแห่งปีมาไล่เรียงให้เห็นอีกครั้ง

1. บ้านใหญ่โชว์พลังกวาดนายก อบจ.

เปิดศักราช 2568 การเมืองไทยก็ได้ประเดิมศึกเลือกตั้งนายก อบจ. 47 จังหวัด เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2569 เป็นการแสดงพลังของ พรรคค่ายใหญ่ 2 ขั้ว คือพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย ขณะที่พรรคประชาชน ชนะเลือกตั้ง นายก อบจ. ที่ จ.ลำพูน เพียงจังหวัดเดียว คือ โกเฮง วีระเดช ภู่พิสิฐ แสดงให้เห็นว่า พลังจัดตั้งและอิทธิพลท้องถิ่นมีผลต่อการเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นปัจจัยสำคัญ

เมื่อนับรวมกับยอด 29 จังหวัดที่เลือกตั้งก่อนครบวาระ ก็พบว่า “ขุมพลังบ้านใหญ่” ต่างมีสรรพกำลังและเครือข่ายที่เป็นจุดแข็งยากที่จะใช้พลังกระแสล้มเครือข่ายเหล่านี้ได้ “บ้านใหญ่” เครือข่ายพรรคการเมือง 2 ก๊กต่างกินรวบนายก อบจ.ไปถึง 33 จังหวัด

ขณะที่ขุมกำลังเครือข่ายสีน้ำเงิน “ภูมิใจไทย” กวาดไปพอๆ กับ ค่ายแดง 20 จังหวัด โดยมีนายก อบจ.ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งสามารป้องกันแชมป์ในพื้นที่ 17 จังหวัด และมีนายก อบจ.หน้าใหม่ 8 คน ในการเลือกตั้งเมื่อ 1 ก.พ. 2568

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2569 จะสะท้อนได้ว่าในเขตอิทธิพลบ้านใหญ่และวิถีนักเลือกตั้งนิยม นั้น “เพื่อไทย” และ “ภูมิใจไทย” จะต้องต่อสู้กันหนัก โดยมีตัวแปรคือ “พรรคประชาชน” มาสอดแทรกในเขตที่มีพลังกระแสสูง

อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ที่อาศัยคะแนนจัดตั้งเป็นสำคัญ กลับไม่มีที่ยืนให้ “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคประชาชน” ในพื้นที่ภาคใต้

10 เหตุการณ์การเมืองไทยปี68 '3 ก๊ก'ประลองกำลัง-หักเหลี่ยมโหด ​​​​​​​

2. พรรครัฐบาลแข็ง - ปชน.ซักฟอก “อิ๊งค์”

เข้าสู่ไตรมาสแรกของปี 2568 การเมืองในรัฐสภา เริ่มขยับฝ่ายค้านนำโดยพรรคประชาชน นำโดย “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคและผู้นำฝ่ายค้านฯ เปิดเกมยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น

โดยพุ่งเป้าวิจารณ์แนวบริหารและนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย ที่สำคัญหนีไม่พ้นการวิจารณ์และตรวจสอบ ผู้นำจิตวิญญาณของ “เพื่อไทย” คือ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ เกี่ยวกับประเด็นพักโทษและถูกควบคุมตัวอยู่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ

สส.พรรคประชาชนพุ่งเป้าถล่มกล่าวหานายกฯ “ขาดคุณสมบัติ ความรู้ และความสามารถเพียงพอ” ในการจัดการประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง เป็นนายกฯ ที่ไร้ความอิสระในการตัดสินใจเพราะได้อิทธิพลจากอดีตนายกฯ ทักษิณ กดดันและควบคุมนโยบายมากเกินไป

กรอบเวลาการอภิปรายเริ่มระหว่าง 24 -25 มี.ค. 2568 ก่อนลงมติในวันที่ 26 มี.ค. 2568 โดยผลการลงมติของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ปรากฏว่า ที่ประชุมสภาฯ มีมติไว้วางใจแพทองธาร 319 เสียง ไม่ไว้วางใจ 162 เสียง และงดออกเสียง 7 เสียง

3.ปรับ ครม.นับถอยหลัง “เพื่อไทย”

รอยร้าวรัฐบาลแพทองธารก่อตัวขึ้นหลังมีกระแสว่า “พรรคเพื่อไทย” โดยเฉพาะ ผู้นำจิตวิญญาณ เริ่มส่งสัญญาณในช่วงกลางปี ราวเดือน พ.ค. - มิ.ย. 2568 ว่าจำเป็นที่จะต้องยึด “กระทรวงมหาดไทย” คืนจากพรรคภูมิใจไทย ที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ขณะนั้นเป็นเจ้าของกระทรวง

ทำให้นายกฯ แพทองธาร เริ่มมีการนัดคุยกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลอยู่เป็นระยะเพื่อหารือถึงการปรับ ครม.ที่จะเกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2568

10 เหตุการณ์การเมืองไทยปี68 '3 ก๊ก'ประลองกำลัง-หักเหลี่ยมโหด

ผนวกกับเหตุการณ์ปะทะชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชาในแถบอีสานตอนใต้ รวมทั้งเกิดคลิปเสียงสนทนาระหว่าง “แพทองธาร” กับ “สมเด็จฮุน เซน” ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา

ทำให้พรรคภูมิใจไทยใช้จังหวะสถานการณ์ปะทะกันของสองประเทศ ด้วยการออกแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2568 ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล แม้ในทางลับพรรคภูมิใจไทยจะยืนยันกับนายกฯ ว่าไม่ขอแลกกระทรวงมหาดไทยไปอยู่กระทรวงสาธารณสุขก็ตาม

โดยพรรคภูมิใจไทย ให้เหตุผลถึงปัญหาความมั่นคงของชาติจากกรณีคลิปเสียงสนทนาของ 2 ผู้นำประเทศเป็นการบ่อนทำลายกองทัพไทย และไม่เห็นด้วยกับวิธีการจัดการของรัฐบาลในประเด็นความขัดแย้งชายแดน

ผลของการถอนตัวของพรรคภูมิใจไทย พรรคเบอร์สองของรัฐบาล ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลไร้เสถียรภาพมีเสียงในสภาที่อยู่ราว 260-270เสียงจากเดิม 300 เสียง และกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้เกิด วิกฤติทางการเมืองและการถอดถอนนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา

กระทั่งนำไปสู่การปรับ ครม. โดยไม่มีพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทยสามารถยึดกุมกระทรวงสำคัญอย่าง “มหาดไทย” เพื่อมาจัดทัพผู้ว่าฯ และโยกย้ายข้าราชการระดับบิ๊กภายในกระทรวงมหาดไทยที่มีสายสัมพันธ์กับพรรคสีน้ำเงิน รวมทั้งยังเดินหน้าคดีที่ดินเขากระโดง ที่เป็นจุดอ่อนของพรรคภูมิใจไทย

ทว่าความอ่อนแอที่ก่อตัวภายในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทำให้กระแสความนิยมเริ่มลดลงจากผลพวงเหตุการณ์ตึงเครียดตามแนวชายแดนภาคอีสานและตะวันออก จนทำให้ “ความนิยม” ในตัว “นายกฯ อิ๊งค์” เริ่มเข้าสู่ภาวะขาลง

10 เหตุการณ์การเมืองไทยปี68 '3 ก๊ก'ประลองกำลัง-หักเหลี่ยมโหด

4.ไทย-กัมพูชาเปิดฉากปะทะชายแดน

ต้องบันทึกไว้อีกเหตุการณ์เมื่อเพื่อนบ้านใกล้ชิดกันมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับไทย อย่าง “กัมพูชา” เมื่อ 2 ผู้นำจิตวิญญาณสูงสุดของ 2 รัฐบาล ไม่รักกันหวานชื่นเหมือนเคย เหตุการณ์การปะทะและสู้รบเริ่มต้นในช่วงปลายเดือน พ.ค. 2568 ในพื้นที่พิพาทชายแดน บริเวณ ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทพระวิหาร และแนวเขตแดนที่ไม่ชัดเจน

การสู้รบผ่านไป 7 วัน โดยในวันที่ 28 ก.ค. 2568 เกิดข้อตกลงหยุดยิงหลังการปะทะรุนแรงหลายวัน ประเทศคู่กรณีผ่านการเจรจาโดยมีตัวกลางจากต่างชาติ ใช้เวทีทางการทูตหยุดยิงเป็นการชั่วคราวเพื่อลดการสู้รบ ซึ่งเป็นข้อความหยุดยิงวางกรอบให้ทั้งสองฝ่ายระงับการยิงและกลับสู่การประชุมในระดับสูงเพื่อแสวงหาวิธีแก้ปัญหาระยะยาว

ขณะที่ช่วงปลายปี 2568 ในห้วงรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย ก็ยังคงเกินสถานการณ์สู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา โดยฝ่ายไทยสามารถยึดคืนพื้นที่ในอธิปไตยของไทยคืนจากกัมพูชาได้ จนกระทั่ง 2 ชาติได้มีการประชุมจีบีซี ลงนามข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราว 72 ชั่วโมง เมื่อ 27 ธ.ค. 2568 แต่ยังต้องจับตาการละเมิดข้อตกลง

โดยข้อตกลงดังกล่าวของสองฝ่ายไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลัง และให้ความร่วมมือกู้ทุ่นระเบิด ปราบอาชญากรรมข้ามชาติ โดยหลังการหยุดยิง 72 ชั่วโมง ไทยจะส่งตัวทหารกัมพูชา 18 นาย กลับประเทศ

5.คลิปสนทนา ศาล รธน.สอย “อิ๊งค์” พ้นนายกฯ

29 ส.ค. 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 เสียง มีคำวินิจฉัยให้ แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี จากกรณีข้อกล่าวหา ที่ สว. 36 คนได้เข้าชื่อยื่นร้องต่อประธานวุฒิสภา กล่าวหา “แพทองธาร” ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และ ขาดคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 170 และมาตรา 160 ของรัฐธรรมนูญ กรณีมีคลิปเสียงสนทนาส่วนตัวกับ สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งถูกเผยแพร่ในสื่อสาธารณะเมื่อกลางปี 2568 และเกิดคำถามเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของผู้นำรัฐบาลท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา

คำวินิจฉัยดังกล่าวชี้ ว่าเป็นการกระทำที่ถือเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง แม้ผู้ถูกกล่าวจะให้เหตุผลว่าเป็นการเจรจาเพื่อสันติภาพและเพื่อยุติความขัดแย้งชายแดนก็ตาม แต่คณะตุลาการเห็นว่าพฤติการณ์แสดงให้เห็นถึงความกังขาของสาธารณะต่อการปฏิบัติหน้าที่

การพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ของ “แพทองธาร” ถูกชี้ว่าจะต้องสิ้นสุดนับตั้งแต่วันที่เธอถูกคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2568 การพ้นนายกฯ ทำให้ คณะรัฐมนตรีทั้งหหมดต้องสิ้นสภาพตามไปด้วย และสภาผู้แทนราษฎรจำเป็นต้องเลือกนายกฯ คนใหม่ ต่อไป

6. “อนุทิน” ผงาดนายกฯ รัฐบาลเสียงข้างน้อย

5 ก.ย. 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรกำหนดวันลงมติเห็นชอบนายกฯ คนใหม่แทน “แพทองธาร” โดยผลการลงมติ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้รับเสียงโหวตเห็นชอบ 311 เสียง จาก สส.ทั้งหมดที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 492 คน ทำให้ “อนุทิน” เป็นนายกฯ คนที่ 32

โดยมีเสียงโหวตของ “พรรคประชาชน” ทั้งพรรค และ สส.ในซีกของพรรคเพื่อไทย 8 เสียงแหกมติพรรคโหวตหนุน “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกฯ ขณะที่พรรคเพื่อไทยเสนอชื่อ “ชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคโดยได้เสียงเห็นชอบเพียง 152 เสียง และมีเสียงงดออกเสียงสูงถึง 27 เสียง

10 เหตุการณ์การเมืองไทยปี68 '3 ก๊ก'ประลองกำลัง-หักเหลี่ยมโหด

ระหว่างการอภิปรายก่อนลงมติ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” ได้พูดถึงสาระสำคัญและเงื่อนไขการลงนามระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย ว่าจะเดินหน้ากันร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดประตูไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีกรอบเวลา 120 วัน นับแต่วันที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา “อนุทิน” จะต้องยุบสภาฯ ภายใน 31 ม.ค. 2569 เพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้งใหญ่ในช่วงต้นปี 2569

คำอภิปรายของ “หัวหน้าเท้ง” กลายเป็นวาทะแห่งปี คือ พรรคประชาชนไม่ได้เลือก “อนุทิน” มาบริหารประเทศ แต่เลือก “อนุทิน” เพื่อมายุบสภาฯ หากพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน ที่มีเสียงรวมกัน 280 เสียงจับมือกันตรวจสอบรัฐบาล ก็สามารถล้ม “อนุทิน”ผ่านเกมซักฟอกได้ตลอดเวลา

10 เหตุการณ์การเมืองไทยปี68 '3 ก๊ก'ประลองกำลัง-หักเหลี่ยมโหด

7.ชิงยุบสภา-คว่ำร่างแก้ รธน.

9 ก.ย. 2568 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยมีข้อเสนอแนะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องทำประชามติ 3 ครั้ง 2 รอบ และรัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ( สสร. ) โดยตรงได้

กระบวนการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นไปตาม MOA ระหว่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย เกิดขึ้นทันทีที่ “อนุทิน” จัดตั้งรัฐบาลใหม่สำเร็จ โดยระหว่างวันที่ 10-14 ก.ย. 2568 รัฐสภาพิจารณาและรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ ของพรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย

โดย ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับพรรคเพื่อไทย ต้องตกไปเพราะไม่ได้รับเสียงเห็นชอบของ สว.เกิน 1 ใน 3 ของ สว.

กลเกมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถูกมองและอ่านเกมจากคนในพรรคเพื่อไทย ว่าไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้สำเร็จ เพราะโจทย์ของพรรคภูมิใจไทยและ สว.ไม่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่เอื้อประโยชน์ให้กับเครือข่ายคนการเมืองปีกสีน้ำเงิน

ฟางเส้นสุดท้ายแตกสะบั้นไปด้วยกันไม่ได้ระหว่าง “พรรคประชาชน” กับ “พรรคภูมิใจไทย” เกิดขึ้นเมื่อวันที่11 ธ.ค. 2568 ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ระหว่างเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไฮไลต์สำคัญคือการแก้ไขมาตรา 256/28 ที่ตัดอำนาจ สว. ในการใช้เสียงของ สว.เห็นชอบ 1ใน3ออกไป

การลงมติมาตรา 256/28 ในวาระที่ 2 ต้องลงมติกัน 2 ครั้ง หลังผลการลงมติรอบแรก กมธ.เสียงข้างมากแพ้โหวตไปด้วยคะแนน 312 ต่อ 290 เสียง ท่ามกลางเสียงเฮที่ดังขึ้นในห้องประชุม ก่อนที่หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) จะเสนอให้นับคะแนนใหม่

โดยข้อบังคับการประชุมรัฐสภาเปิดช่องให้ลงคะแนนและนับคะแนนใหม่ได้ กรณีคะแนนห่างกันไม่ถึง 30 คะแนน แต่ต้องลงคะแนนโดยการขานชื่อสมาชิก จึงกินเวลาเกือบ 2 ชม. แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนมติของเสียงข้างมากได้

ทั้งนี้ก่อนมีการนับคะแนนใหม่ “ณัฐพงษ์” หัวหน้าพรรค ปชน. ประกาศว่าหากรัฐสภายังคงเสียง 1 ใน 3 ของ สว. ต่อไป “ไม่สามารถยอมรับให้ร่างรัฐธรรมนูญนี้เดินไปได้ ผมคงต้องร้องขอให้นายกฯ ยุบสภา”

ในระหว่างนั้น มีกระแสข่าวสะพัดตั้งแต่ช่วงหัวค่ำว่า สส. ฝ่ายค้าน ทั้งเพื่อไทยและประชาชนได้ล่ารายชื่อ สส. เพื่อเตรียมญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ครม. ทั้งคณะ ซึ่งแกนนำของ 2 พรรคนี้ได้ออกมายอมรับในภายหลังว่ากำลังล่าชื่อ สส. จริง แต่ไม่ทันการชิงยุบสภาของนายกฯ และต่อมาเวลา 22.05 น. “อนุทิน” ได้ประกาศผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ผมขอคืนอำนาจกลับไปยังพี่น้องประชาชนครับ”

นับแต่นี้ไป 12 ธ.ค. 2568 การเมืองไทยต้องเดินหน้าสู่การเลือกตั้งทั่วไป ซึ่ง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 8 ก.พ. 2569

ส่วนร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขในรัฐสภาเป็นอันตกไป เหลือเพียงการเห็นชอบคำถามประชามติเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยแจ้งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการเพื่อให้มีการออกเสียงประชามติต่อไป

10 เหตุการณ์การเมืองไทยปี68 '3 ก๊ก'ประลองกำลัง-หักเหลี่ยมโหด

8.อุ้มฮั้วเลือกตั้ง ส.ว.-ยื้อเขากระโดง

ตลอดศักราชปี 2568 มีการเดินเกมผ่านกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อตรวจสอบคดีฮั้ว สว. ซึ่งพบว่ามีการจัดการเลือก สว.ที่ผิดปกติ จนสื่อมวลชนและสังคมวิจารณ์ว่า สว. 200 คนในวุฒิสภานั้น เป็นคนของเครือข่ายพรรคสีน้ำเงินไม่ต่ำกว่า 130 เสียง ขณะที่ ประธานวุฒิสภาก็เป็นตัวแทนจาก จ.บุรีรัมย์ โดยมี สว.ที่เป็นเครือข่ายของพรรคสีน้ำเงินเข้าสู่รัฐสภา มากที่สุดคือ จ.บุรีรัมย์

ช่วงเดือน พ.ค. 2568 ดีเอสไอ เดินหน้าคดีอย่างจริงจัง โดยพบว่าอาจมีกระบวนการฟอกเงินและจัดตั้งเครือข่ายในกลุ่มลับเพื่อฮั้ว สว.โดยพบว่ามีผู้เกี่ยวข้องอยู่จำนวนมาก และยังส่งหมายเรียกไปยัง สว.บางรายด้วย

เวลาต่อมาคณะสอบสวนของคณะกรรมการเฉพาะกิจของ กกต.ได้จัดทำรายงานและ ส่งคดีที่มีผู้ต้องสงสัยทั้งหมด 229 รายต่อ กกต.เพื่อพิจารณาต่อไป ซึ่งรวมถึง ส.ว. ที่ถูกสงสัยว่าส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมฮั้วโหวต.

โดยดีเอสไอดำเนินการเอาผิดในคดีอาญาต่อกลุ่มบุคคลที่ต้องสงสัยว่ามีการจัดการเรื่องเงินและฮั้ว สว. ส่วน กตก.จะดำเนินการเกี่ยวกับการเพิกถอนสิทธิ สว.ต่อไปกรณีหากมีหลักฐานที่ชัดเจน และอาจทำให้เกิดการเลือก สว.ใหม่ในอนาคต

สำหรับคดีฮั้ว สว.ในปัจจุบันนั้นเรื่องยังคาอยู่ในกระบวนการสอบสวนคดีของ กกต.และดีเอสไอ ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็พยายามเกาะติดและเรียกร้องให้ กกต.ดำเนินคดีดังกล่าวกับพรรคการเมืองบางพรรคอย่างจริงจัง เพื่อลดข้อครหาถูกฝ่ายการเมืองแทรกแซงการทำคดี

อีกคดีที่ตีคู่ด้วยกัน นั่นก็คือ “คดีเขากระโดง” ข้อพิพาทที่ดินขนาดใหญ่กว่า 5,000 ไร่ ใน จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน ประมาณ 55 ปี ระหว่าง การรถไฟแห่งประเทศไทยและผู้ครอบครองที่ดินบุคคลทั่วไปและบริษัทต่าง ๆ

ระหว่างที่พรรคเพื่อไทยกำกับดูแลกระทรวงมหาดไทย โดย “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ได้สั่งการให้กรมที่ดินดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ เนื่องจากผลการสอบสวนชี้ชัดว่าเป็นที่ดินของรัฐของการรถไฟแห่งประเทศไทย

เวลาต่อมามติคณะรัฐมนตรี ในยุค นายกฯ อนุทินได้มีมติเห็นชอบให้ “พรพจน์ เพ็ญพาส” พ้นจากตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย กลับมานั่งแหน่งอธิบดีกรมที่ดิน ตามเดิม ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า คดีเขากระโดง และการคืนตำแหน่งให้ “พรพจน์” อาจมีผลต่อการสถานะของการเพิกถอนคดีเขากระโดง ซึ่งเป็นพื้นที่อาณาจักรของคนการเมืองบิ๊กเนมสีน้ำเงิน

9. เลือกตั้งใหญ่-ศึกการเมือง 3 ก๊ก

พลันที่ “อนุทิน” ชิงยุบสภาฯ เพื่อหนีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2568 เป็นที่รับรู้กันภายในหมู่นักเลือกตั้งว่า ดีเดย์ยุบสภาจะเกิดขึ้นในวันที่12 ธ.ค. หรือก่อนเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญ เพื่อป้องกันเกมการเมืองที่อาจล้ม “นายกฯหนู” กลางสภาได้

กระแสข่าวงูเห่า พลังดูด การกวาดทุ่มบ้านใหญ่นักเลือกตั้งเพื่อต้อนเข้าสู่พรรคภูมิใจไทยจึงเกิดขึ้นหลายระลอก นับตั้งแต่โหวตเห็นชอบ “อนุทิน”นั่งนายกฯ

งูเห่า สส.พรรคเพื่อไทยที่เคยเห็นชอบ “อนุทิน” คนของพรรคเพื่อไทยเดินออกจากพรรคต้นสังกัดเข้าสู่พรรคภูมิใจไทย โดยเฉพาะบ้านใหญ่

ขณะที่คนการเมืองพรรครวมไทยสร้างชาติ นำโดย “สุชาติ ชมกลิ่น” รองนายกฯ และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำสส.ในกลุ่ม16 เข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทย ขณะที่กลุ่มขิง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อดีตเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติก็นำ สส.ในโซนภาคใต้และผู้สมัครทีม กทม.ร่วมงานกับพรรคสีน้ำเงิน

เช่นเดียวกับพรรคบ้านใหญ่ชาติไทยพัฒนา สส.สุพรรณบุรี -นครปฐม ต้องกลืนอุดมการณ์พรรคบรรหาร เพื่อความอยู่รอดเดินเข้าสู่อ้อมกอดของคนบุรีรัมย์

ว่ากันว่าตัวเลขยอดพลังกวาดต้อนเข้าสู่พรรคภูมิใจไทยมีการใช้สรรพกำลังมหาศาลเพื่อการันตีการทำพื้นที่ให้กับผู้สมัคร สส.เกรดเอ โดยมีเป้าหมายว่า “พรรคภูมิใจไทย” ต้องชนะเลือกตั้งเท่านั้น

10 เหตุการณ์การเมืองไทยปี68 '3 ก๊ก'ประลองกำลัง-หักเหลี่ยมโหด

10. คุมขัง “ทักษิณ” ตัดกำลัง พท.

แน่นอนว่าเหตุการณ์ร้อนแรงและช็อกคนการเมืองปีกเพื่อไทยที่สุดคงเป็น เหตุการณ์ “ทักษิณ” เดินหน้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หลังจากเดินทางกลับสู่ประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2566 และได้รับพระราชทานอภัยลดโทษจากโทษจำคุก 8 ปี เหลือเพียง 1 ปี ระหว่างกลับประเทศได้ถูกควบคุมตัวไปพักรักษาตัวที่ ชั้น 14 รพ.ตำรวจ

แต่ก็ยังถูกตั้งข้อสังเกตจากเครือข่ายฝั่งตรงข้าม "ทักษิณ" ว่า  กระบวนการคุมขังนอกเรือนจำอาจไม่เป็นไปตามกฎหมาย คือยังไม่ได้รับโทษจำคุกจริง กระทั่งวันที่ 9 ก.ย. 2568 “ทักษิณ” เดินมารับฟังการอ่านคำพิพากษาของ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยศาลชี้ว่า การที่ “ทักษิณ” ได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ แทนการถูกคุมขังในเรือนจำเป็น การปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

10 เหตุการณ์การเมืองไทยปี68 '3 ก๊ก'ประลองกำลัง-หักเหลี่ยมโหด

นอกจากนี้ “ทักษิณ” ยังต้องเผชิญวิบากกรรมทางการเมืองอีกระลอก ภายหลัง “อัยการสูงสุด” มีคำสั่งให้อุทธรณ์คดี ม. 112 ภายหลัง “ศาลชั้นต้น” มีคำพิพากษายกคำร้อง

ทั้งหมดคือ 10 เหตุการณ์ร้อนทางการเมืองปี 2568 ส่งไม้ต่อไปยังปี 2569 การเมืองยังร้อนระอุ เกมอำนาจยังต้องขับเคลื่อนกันต่อ โดยมี “ประเทศไทย” เป็นเดิมพัน