มองการเลือกตั้งผ่านทฤษฎีเกม | คิดอนาคต

มองการเลือกตั้งผ่านทฤษฎีเกม | คิดอนาคต

เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมทุกครั้งพอใกล้วันเลือกตั้ง หลายพรรคการเมืองถึงเริ่มมีนโยบายคล้ายกันอย่างกับนัดกันมา? ไม่ว่าจะเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ปลดหนี้ เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ อัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ

ช่วยเหลือ SMEs ยกระดับราคาสินค้าเกษตร ปั้นเศรษฐกิจใหม่ แก้ไขคอร์รัปชัน เพิ่มเบี้ยคนชรา ฯลฯ

หากลองมองในระดับพื้นฐาน คำอธิบายง่าย ๆ อาจเป็นว่า ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศคล้ายกันทุกยุค พรรคการเมืองจึงต้องตอบโจทย์เดียวกัน และการนำเสนอนโยบายด้านรายได้ ค่าครองชีพ ก็ย่อมดึงดูดผู้ลงคะแนนได้มากที่สุด อีกมุมหนึ่ง พรรคการเมืองอาจไม่อยากแตกต่างเกินไป เพราะกลัวสูญเสียเสียงจากคนหมู่มาก จึงเลือกยืนอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัยร่วมกัน

แต่ความเหมือนนี้ไม่ได้เกิดจากสัญชาตญาณทางการเมืองเพียงอย่างเดียว หากยังมีเหตุผลเชิงกลยุทธ์ที่เป็นระบบรองรับอยู่ ซึ่งเมื่อมองผ่านกรอบคิดของทฤษฎีเกมจะยิ่งเห็นภาพชัดขึ้น โดยเฉพาะแนวคิดทฤษฎีมัธยฐานผู้ลงคะแนน (Median Voter Theory)

ที่อธิบายว่า เมื่อความคิดเห็นของผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่อยู่บริเวณกึ่งกลางในลักษณะระฆังคว่ำ พรรคที่ต้องการชนะเลือกตั้งย่อมถูกแรงกดดันให้ขยับจุดยืนเข้าหาสายกลางเพื่อดึงคะแนนจากคนกลุ่มใหญ่ให้ได้มากที่สุด 

ผลลัพธ์จึงไม่ใช่การแข่งขันเพื่อความแตกต่าง หากแต่กลายเป็นแรงจูงใจให้พรรคการเมืองค่อย ๆ ปรับตัวจนมีความคล้ายกันมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเสียคะแนนเสียงจากผู้ลงคะแนนส่วนใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงกลางนั่นเอง อย่างไรก็ตาม โลกความเป็นจริงซับซ้อนกว่าสมมติฐานในตำรา พรรคการเมืองไม่ได้แข่งขันกันแค่สองฝ่าย ความคิดของผู้ลงคะแนนก็ไม่ได้กระจุกอยู่ตรงกลางเสมอไป 

เมื่อมีมากกว่าสองพรรค ทฤษฎีมัธยฐานผู้ลงคะแนนจึงเริ่มซับซ้อนขึ้น เพราะเมื่อพรรคหนึ่งขยับ จุดยืนของพรรคอื่นย่อมได้รับผลกระทบทันที ทำให้ตรงกลางไม่ได้เป็นพื้นที่ปลอดภัย แต่กลับเป็นจุดที่ถูกรุมจากทั้งซ้ายและขวา กลยุทธ์ที่พบได้บ่อยคือ เกมสามเส้า พรรคสายกลางพยายามกวาดคะแนนเสียงส่วนใหญ่ ขณะที่พรรคอุดมการณ์เลือกยืนชัดในฝั่งของตนเพื่อยึดฐานเสียงหลักไว้อย่างมั่นคง

แล้วทำไมสายกลางอาจไม่ใช่คำตอบเสมอไป? เพราะทุกวันนี้ผู้ลงคะแนนจำนวนมากเริ่มมองหาความชัดเจน มากกว่าการประนีประนอมจนเลือนราง พรรคที่ขยับเข้าศูนย์กลางมากเกินไปเพื่อเอาใจทุกคน อาจเสี่ยงทำให้ฐานเสียงเดิมรู้สึกถูกทอดทิ้ง (Alienating the base) โดยที่ยังไม่ได้คะแนนใหม่กลับมา

ดังนั้น พรรคที่วางเกมเก่งจึงไม่ได้แค่มุ่งหน้าสู่ตรงกลาง แต่ต้องหาจุดสมดุลระหว่างการรักษาฐานเสียงเดิม และการดึงกลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจด้วยข้อเสนอที่จับต้องได้จริง

นอกจากนี้ โซเชียลมีเดียยังเร่งให้สังคมแบ่งขั้วมากขึ้น โครงสร้างความคิดเห็นจึงไม่ได้กองอยู่ตรงกลางแบบกราฟระฆังคว่ำเหมือนในอดีต แต่กระจายออกไปหลายทิศทาง กลยุทธ์ที่ดีจึงต้องซับซ้อนและยืดหยุ่น คือทั้งรักษาฐานเสียงหลักให้มั่น และรักษาสมดุลในการดึงคะแนนจากกลุ่มที่พร้อมเปลี่ยนใจ (Swing Voters) ไปพร้อมกัน

ในโลกความเป็นจริง พรรคการเมืองต่างใช้ตรรกะของทฤษฎีเกมเพื่อชิงความได้เปรียบอยู่ตลอดเวลา แต่ในอีกด้านหนึ่ง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเองก็จำเป็นต้องอ่านเกมให้ขาดเช่นกัน เพื่อให้การตัดสินใจในคูหาตั้งอยู่บนความเข้าใจเชิงโครงสร้าง มากกว่าการปล่อยให้กระแสหรือวาทกรรมชั่วคราวชี้นำเรา

สิ่งสำคัญที่ควรรู้เท่าทันอย่างแรก คือการหาเสียงแบบเอาใจไปทั่ว (pandering) ซึ่งมักปรากฏในรูปของคำสัญญาที่ขัดแย้งกันเอง เช่น รับปากลดภาษีในเวทีกลุ่มทุน แต่กลับให้คำมั่นว่าจะเพิ่มสวัสดิการอย่างมากกับแรงงานโดยไม่มีแผนรองรับที่ชัดเจน พฤติกรรมลักษณะนี้ไม่ใช่ความยืดหยุ่น แต่สะท้อนถึงการขาดความจริงใจและความรับผิดชอบต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับสังคม

เรื่องต่อมาคือ การแยกแยะระหว่างคำพูดสวยหรู กับนโยบายที่ลงมือทำได้จริง เพราะคำสัญญาอย่าง เศรษฐกิจจะดีขึ้น หรือ จะปราบโกงให้สิ้นซาก เป็นสิ่งที่ใครก็พูดได้ หน้าที่ของสังคมและสื่อจึงต้องช่วยกันถามต่อว่า ทำอย่างไร? และใช้งบประมาณจากไหน? เพื่อดูว่านโยบายนั้นมีรายละเอียดและความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่

และสุดท้าย คือ การรู้เท่าทันคำประกาศเชิงสัญลักษณ์ที่แทบไม่มีต้นทุนทางการเมือง (cheap talk) ซึ่งพรรคการเมืองอาจใช้เพื่อตอบกระแสเฉพาะหน้า โดยไม่ได้ตั้งใจจะทำจริง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจึงควรพิจารณาจากสิ่งที่มีต้นทุนจริง เช่น ผลงานที่ผ่านมา ประวัติการลงมติ หรือพันธะที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานของความจริงใจที่หนักแน่นกว่าคำพูดสวยงามเสมอ

ท้ายที่สุด คำตอบว่าทำไมนโยบายหลายพรรคจึงคล้ายกัน ก็เพราะแรงจูงใจเชิงกลยุทธ์ผลักให้พรรคการเมืองต้องขยับเข้าหากลาง เพื่อไม่ให้เสียคะแนนจากผู้ลงคะแนนส่วนใหญ่ จนนโยบายด้านปากท้องและเศรษฐกิจดูคล้ายกันไปทั้งสนาม

แต่อย่างไรก็ดี หากมองใกล้ ๆ จะเห็นว่าแต่ละพรรคยังใส่ลายเซ็นของตัวเองลงไปบางพรรคชูความสามารถในการทำจริง บางพรรคเน้นความซื่อสัตย์โปร่งใส บางพรรคขายความสดใหม่และความคิดนวัตกรรม เพื่อให้จำได้ว่าต่างจากคนอื่นตรงไหน

นโยบายส่วนมากจึงเหมือนร่มใหญ่ที่กางครอบคลุมประเด็นเดียวกัน แต่สิ่งที่ต่างกันคือมือที่ถือร่ม ว่าใครจะทำได้จริง ใครโปร่งใสกว่า หรือใครเสนอความคิดสดใหม่ได้มากกว่า และนี่คือพื้นที่ที่พรรคการเมืองยังแข่งขันกันอย่างดุเดือดในปัจจุบัน

 

มองการเลือกตั้งผ่านทฤษฎีเกม | คิดอนาคต