‘ณัฐพงษ์’ ขอโทษ ปชช.ปม ‘บุญฤทธิ์’ ลั่นไม่กระทบ ‘มีส้ม ไม่มีเทา’

‘ณัฐพงษ์’ ขอโทษ ปชช.ปม ‘บุญฤทธิ์’ ลั่นไม่กระทบ ‘มีส้ม ไม่มีเทา’

‘เท้ง ณัฐพงษ์’ ขอโทษประชาชน ปม ‘บุญฤทธิ์’ ถูกจับคดีฟอกเงิน ‘เท่าพิภพ’ ลงแทน รับเหตุสุดวิสัยจริง แต่ไม่ใช่เป็นข้ออ้าง ลั่นไม่กระทบแคมเปญ ‘มีส้ม ไม่มีเทา’

KEY

POINTS

  • นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวขอโทษประชาชน กรณีที่นายบุญฤทธิ์ เรารุ่งโรจน์ ผู้สมัคร สส.กทม. ของพรรค ถูกจับกุมในคดีฟอกเงินที่พัวพันยาเสพติด
  • พรรคชี้แจงว่าเป็นเหตุสุดวิสัย เนื่องจากได้ตรวจสอบประวัติอาชญากรรมก่อนวันที่หมายจับจะออก แต่ยืนยันจะดำเนินการทันทีโดยยึดมาตรฐานทางการเมืองที่สูงกว่ากฎหมาย
  • ยืนยันว่าเหตุการณ์นี้ไม่กระทบต่อแคมเปญ "มีส้ม ไม่มีเทา" แต่กลับเป็นการแสดงให้เห็นว่าพรรคไม่ปกป้องพวกพ้องและพร้อมขจัดปัญหาธุรกิจสีเทา
  • พรรค ปชน. กำลังดำเนินการหาผู้สมัครคนใหม่มาลงสมัครรับเลือกตั้งใน กทม. เขต 33 แทน โดยมีชื่อนายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ประกาศพร้อมลงสมัครแล้ว

เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกฯของพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการจับกุมนายบุญฤทธิ์ เรารุ่งโรจน์ ผู้สมัคร สส.กทม.เขต 33 พรรค ปชน.กรณีถูกกล่าวหาในคดีฟอกเงินพัวพันเครือข่ายยาเสพติด ว่า เนื้อหาหลัก ๆ ในรายละเอียดนายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรค แถลงไปแล้วบางส่วน ยืนยันในส่วนพรรค ปชน.นี่เป็นตัวอย่างที่เราพอตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราพบเห็นการกระทำความผิด แม้ในทางกฎหมายยังไม่ถึงสิ้นสุด แต่เราดำเนินการโดยทันที เรายึดมั่นในหลักที่ว่า ผู้มาดำรงตำแหน่งทางการเมือง มาตรฐานต้องสูงกว่ามาตรฐานทางกฎหมาย คนที่เป็นนักการเมืองต้องรับผิดรับชอบต่อประชาชนมากกว่าการรับผิดรับชอบมากกว่ากระบวนการทางกฎหมายยังไม่ถึงที่สุด ต้องแสดงความเสียใจ และกล่าวคำขอโทษต่อประชาชนทุกคนอีกครั้ง 

“ยืนยันว่าพวกเราดำเนินการทุกอย่างอย่างเต็มที่ คัดสรรผู้สมัครดีขึ้นทุก ๆ ครั้ง เราจะเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัย ในแง่ที่ว่าหมายจับออกวันที่ 17 ธ.ค. และจับกุมคืนที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้เราได้ตรวจสอบประวัติอาชญากรรมแล้ว เราได้ตรวจสอบก่อนวันที่ 17 ธ.ค.ทำให้เราไม่พบในระบบ และเราเปิดรับฟังความเห็นจากประชาชนโดยถ้วนหน้าแล้ว ยืนยันว่าข้อมูลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ที่ส่งเข้ามาในพรรค ไม่มีประเด็นที่เกี่ยวข้องตามหมายจับที่ถูกจับกุม เช่นข้อหาจากการฟอกเงินต่าง ๆ เพราะฉะนั้นส่วนนี้เอง เป็นเหตุสุดวิสัยกับเรา แต่เราไม่ได้เอามาเป็นข้ออ้าง แค่อยากจะกล่าวคำขอโทษ และเราจะทำทุกอย่างให้ดีขึ้นต่อไป” นายณัฐพงษ์ กล่าว

เมื่อถามว่าจะสามารถเลือกผู้สมัคร สส.กทม.เขต 33 ของ ปชน.ลงสมัครทันหรือไม่ เพราะอาจติดเงื่อนไขเวลา นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตอนนี้ต้องบอกว่าผู้สมัคร สส.เขตกับบัญชีรายชื่อต่างกัน ผู้สมัครเขตเรายังสามารถทำไพรมารีโหวต ยื่นสมัครต่อ กกต.ได้อยู่ ยังเหลือเวลาทำได้ พวกเรายืนยัน ตนยืนยันว่าสามารถทำทันได้ เดี๋ยวดูเนื้อหาทางกฎหมาย ถ้าเขาขาดคุณสมบัติ เราสามารถยื่นใบสมัครกลับได้อยู่ ทางฝ่ายกฎหมายแจ้งมาเบื้องต้นว่ายังสามารถยื่นชื่อผู้สมัครคนใหม่ได้ เราอยู่กระบวนการหาตัวผู้สมัครที่ประชาชนเชื่อมั่นได้ว่าจะไม่เกิดเหตุแบบนี้แน่นอน ที่จะมาลงแทนใน กทม.เขต 33

เมื่อถามว่าหลังเหตุการณ์นี้ จะสกรีนผู้สมัคร สส.เพิ่มเติมหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เนื่องจากเหลือเวลาแค่ 2 วันอาจไม่ทันมีกระบวนการแบบเดิม ทั้งตรวจสอบประวัติอาชญากรรม เปิดให้ประชาชนแสดงความเห็น ถ้าพรรคส่งใครแทนในเขต 33 ต้องเป็นชื่อที่ทุกคนมั่นใจ ทั้งพรรคและประชาชนมั่นใจได้ว่า อุดมการณ์อยู่กับพรรค ปชน. และประวัติไม่ด่างพร้อยแน่นอน เรามีคนที่พร้อมตรงนั้นอยู่

ซักอีกว่า หากเกิดติดขัดข้อกฎหมาย ส่งผู้สมัครไม่ได้ จะทำอย่างไร นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ถ้ามีข้อจำกัดด้านกฎหมายตรงนั้นจริง ๆ เป็นสิ่งที่ตนเองก็รู้สึกเสียใจ ที่เราขาดโอกาสเสนอผู้สมัครให้เป็นตัวเลือกของคน กทม.เขต 33 เดี๋ยวรอดูความชัดเจนทางด้านกฎหมายดีกว่า 

เมื่อถามว่า เรื่องนี้กระทบแคมเปญหลักหรือไม่ เช่น “กาส้ม ล้มเทา” “มีเทา ไม่มีเรา” กลายเป็นคนไม่เชื่อ หัวหน้าพรรค ปชน.กล่าวว่า การขจัดปัญหาสีเทาของประเทศ ย้ำอีกครั้งว่า ไม่ได้หมายความว่าทำให้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน หรือว่าปัญหาเรื่องเทา ๆ หมดจากไทยภายในวันแรก แต่การไม่ทนต่อปัญหาเหล่านี้ ไม่ปกป้องพวกพ้องตั้งแต่วันแรกสามารถทำได้ การกระทำ การแถลงของพรรค ที่เกิดขึ้นเช้านี้ ทันที่ที่นายพิจารณ์ทราบข่าวเช้านี้ เป็นสิ่งที่พวกเราแสดงออกให้เห็นความชัดเจนว่า เป็นผู้สมัครของเรา เป็นคนในของเรา เราตรวจสอบ ถึงแม้คดียังไม่ถึงที่สิ้นสุด เราไม่ปกป้อง มาตรฐานทางการเมืองต้องสูงกว่ามาตรฐานทางกฎหมาย นี่เป็นสิ่งที่อยากยืนยันอีกครั้งว่า ไม่กระทบต่อแคมเปญมีส้ม ไม่มีเทาแต่อย่างใด

เมื่อถามอีกว่า การจับกุมดังกล่าวมาจากการเปิดเผยของตำรวจ ไม่ใช่พรรคตรวจสอบเจอเอง พอมาพูดแบบนี้ กลายเป็นว่าคนไม่เชื่อหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเหตุสุดวิสัยแบบนั้นจริง ๆ ถ้าก่อนหน้านี้เราตรวจสอบ แล้วพบประวัติอาชญากรรมในระบบ เช่น ถ้ามีการออกหมายเรียกมาก่อน เราไม่ส่งคุณบุญฤทธิ์ใน กทม.เขต 33 แน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ออกหมายจับเลย แล้วเราตรวจสอบก่อน 17 ธ.ค. พอหมายจับออกเราก็ไม่พบประวัติแล้ว ประกอบกับกระบวนการรับฟังความคิดเห็น ก็ไม่มีใคร ที่ส่งเรื่องเข้ามายังพรรค ผู้สมัครคนอื่นนอกจากนายบุญฤทธิ์ ตอนเราเปิดเผยรายชื่อแสดงความเห็นถึงช่วงเวลาก่อนยื่นใบสมัครต่อ กกต. มีการสลับชื่อเข้าออกหลายเขต แสดงให้เห็นว่ากระบวนการรับฟังความเห็นรอบด้าน เรารับฟังจริง ๆ แต่ข้อมูลที่รับฟังความเห็น ไม่มีข้อมูลตรงนี้

“เราพยายามทำอย่างดีที่สุดแล้ว ไม่ได้เอามาใช้เป็นข้ออ้าง เราขอโทษ แต่ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ดังนั้นเมื่อเหตุเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เราทำได้คือทำให้ดีที่สุด ไม่ปกป้องพวกพ้องตนเอง ไม่พยายามกลบเกลื่อนเรื่อง เพราะกลัวว่าทำให้ชื่อเสียงของพรรคเสียหาย ในขณะเดียวกันการดำเนินการเราทำอย่างรวดเร็ว ไม่ปกป้องผู้สมัครของเรา จะทำให้ประชาชนเชื่อมั่นได้ว่ามีส้ม ไม่มีเทาอย่างแท้จริง” นายณัฐพงษ์ กล่าว

ส่วนกรณีพรรคการเมืองอื่นอาจนำเรื่องนายบุญฤทธิ์ มาพาดพิงทางการเมืองกับ ปชน.มองอย่างไร นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า อยากฝากทางสื่อ และประชาชนอาจลองช่วยกันตั้งคำถามแบบเดียวกันนี้ กับผู้สมัคร รวมถึงทุกพรรค ทุกพื้นที่ ตนอาจถามโดยตรงไม่ได้ เดี๋ยวกล่าวหาโดยตรงอาจผิดกฎหมายเลือกตั้ง ลองตั้งคำถามแบบเดียวกันนี้ว่า ผู้สมัครหรือตัวแทนประชาชนที่แต่ละพรรคเสนอ ใครเคยมีประวัติอาชญากรรมเกี่ยวข้องมาก่อนหน้านี้แล้วหรือไม่ ถ้ามี แล้วคดียังไม่ถึงที่สุดจริง ๆ ทำไมคุณถึงส่งต่อ แต่ตนยืนยันอีกครั้งว่า มาตรฐานการเป็นตัวแทนประชาชน ต้องมีความรับผิดรับชอบสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย ปชน.แสดงให้เห็นแล้วว่า แม้คดียังไม่สิ้นสุด แต่ก็ถอนนายบุญฤทธิ์ออกจากการสมัครับเลือกตั้ง สส.กทม.เขต 33

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเกิดกรณีข้างต้น นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร อดีต สส.กทม.พรรคประชาชน ได้ประกาศตัวพร้อมลงสมัคร สส.กทม.เขต 33 แทนแล้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้จะประกาศเลิกลง สส. แต่ยอมกลับคำพูด เพื่อช่วยแก้ไขวิกฤติพรรคที่เกิดขึ้น