'กองทัพ'ย้ำ หยุดยิง ไม่กระทบอธิปไตย ยึดคุ้มครองประชาชนเปิดพื้นที่การทูต

'กองทัพ'ย้ำ หยุดยิง ไม่กระทบอธิปไตย ยึดคุ้มครองประชาชนเปิดพื้นที่การทูต

"กองทัพ"ย้ำ รัฐบาลหยุดยิง 72 ชม.ไม่กระทบอธิปไตย ยึดคุ้มครองความปลอดภัยประชาชน เปิดพื้นที่การทูต พร้อมคงกำลังเต็มขีดความสามารถ

เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2568 ที่ศูนย์อำนวยการร่วมสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา พล.อ.อ.ประภาส  สอนใจดี ผู้อำนวยการศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา กล่าวถึง กรณีที่รัฐบาลยืนยันมาตรการ หยุดยิงชั่วคราว เป็นเวลา 72 ชั่วโมง เป็นหนึ่งในกลไกลดระดับความตึงเครียดตามแนวชายแดน เพื่อมุ่งสู่การยุติการปะทะอย่างถาวรและสันติภาพที่ยั่งยืน โดยย้ำชัดว่าไม่กระทบสิทธิหรืออธิปไตยของประเทศแต่อย่างใด ขณะที่กำลังทหารในพื้นที่ยังคงตรึงกำลัง เฝ้าระวัง และปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคงอย่างเต็มขีดความสามารถ

สำหรับการตัดสินใจดังกล่าวเป็นไปบนพื้นฐาน “ผลประโยชน์ของชาติและความปลอดภัยของประชาชน” โดยไทยยังคงรักษาศักดิ์ศรีและอธิปไตยครบถ้วน การรับฟังข้อเสนอจากมิตรประเทศถือเป็นเรื่องปกติในเวทีระหว่างประเทศ แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายเป็นของไทย ไม่ได้เกิดจากแรงกดดันจากภายนอก

ต่อข้อกังวลว่าอีกฝ่ายอาจใช้ช่วงหยุดยิงเพื่อ เสริมกำลัง รัฐบาลระบุว่าได้กำหนดมาตรการเฝ้าตรวจและติดตามอย่างเข้มงวด ทั้งด้านการข่าวและการลาดตระเวน หากพบความเคลื่อนไหวผิดปกติจะมีการบันทึกหลักฐานและดำเนินการตามขั้นตอนทันที พร้อมยืนยันว่า

หากมีการละเมิดการหยุดยิง ไทยจะรายงานผ่านกลไกที่ตกลงกันไว้ และยังคงสงวนสิทธิในการป้องกันตนเอง โดยการตอบโต้จะยึดหลักความจำเป็นและความได้สัดส่วน เพื่อลดความเสี่ยงต่อประชาชนและไม่เปิดช่องให้เกิดการบิดเบือนในเวทีสากล

รัฐบาลย้ำหลักการยึด “ตำแหน่งปัจจุบัน” ในการควบคุมพื้นที่อย่างชัดเจน มีการบันทึกพิกัด เหตุการณ์ และหลักฐานการเคลื่อนไหวทุกกรณี เพื่อคุ้มครองสิทธิของไทยทั้งในภาคสนามและในโต๊ะเจรจา

สำหรับกรอบเวลา 72 ชั่วโมง เป็นช่วงเวลาที่สั้นพอให้ควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ยาวพอสำหรับภารกิจเร่งด่วน อาทิ การตรวจสอบสถานการณ์จริง การช่วยเหลือประชาชน การจัดการความปลอดภัย และเปิดช่องให้กลไกการเจรจาทำงานโดยไม่ให้สถานการณ์ลุกลาม

การหยุดยิงครั้งนี้เป็น “ทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์” เพื่อรักษาชีวิตประชาชน คงความชอบธรรมในสายตานานาชาติ และเปิดพื้นที่ให้การทูตเดินหน้า ขณะที่ความพร้อมทางทหารของไทยยังคงอยู่ครบถ้วน เป้าหมายหลักของการปฏิบัติการคือการปกป้องอธิปไตย ลดภัยคุกคาม และคุ้มครองประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาไทยสามารถควบคุมพื้นที่สำคัญได้แล้ว การหยุดยิงจึงไม่ใช่การยุติการป้องกันประเทศ แต่เป็นการลดการปะทะเพื่อประเมินผลและกำหนดก้าวถัดไปอย่างรอบคอบ

ด้านความปลอดภัยของประชาชน รัฐบาลย้ำว่าเป็นสิ่งที่ให้ความสำคัญสูงสุด มีการเพิ่มการลาดตระเวน การเฝ้าระวัง และระบบแจ้งเตือนตามระดับความเสี่ยง การหยุดยิงไม่ได้หมายถึงการเปิดพื้นที่โดยอัตโนมัติ พร้อมเตรียมแผนฉุกเฉินรองรับ ทั้งการอพยพ การแพทย์ฉุกเฉิน ศูนย์พักพิง และการประสานงานหน่วยงานในพื้นที่

ประชาชนสามารถทยอยกลับเข้าพื้นที่และเริ่มต้นทำมาหากินได้ตามขั้นตอน โดยต้องผ่านการประเมินความปลอดภัยเป็นจุดต่อจุด เช่น การตรวจสอบทุ่นระเบิด วัตถุระเบิดตกค้าง และความเสี่ยงจากการปะทะซ้ำ ขณะเดียวกันทางการได้เพิ่มมาตรการคุ้มครองทรัพย์สิน ตั้งจุดตรวจ และเปิดช่องทางร้องเรียน พร้อมมาตรการเยียวยาตามกฎหมาย

ต่อประเด็นความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้าม รัฐบาลระบุว่าใช้ระบบที่ “ตรวจสอบได้” มากกว่าอาศัยความเชื่อใจ โดยยึดหลักฐานและข้อเท็จจริงเป็นสำคัญ มีกลไกบันทึกเหตุการณ์ รายงานตามลำดับชั้น และใช้คณะกรรมการหรือช่องทางที่ตกลงกันไว้ หากเกิดปัญหาจะยกระดับเข้าสู่กระบวนการเจรจา พร้อมเตรียมรับมือสงครามข้อมูลข่าวสารด้วยการสื่อสารเชิงรุก ยืนยันข้อเท็จจริงตามมาตรฐานสากล

ในเชิงการเมือง รัฐบาลย้ำว่าการตัดสินใจทั้งหมดเป็นการทำงานร่วมกันของรัฐบาลและกองทัพ ภายใต้เป้าหมายเดียวกันคือความปลอดภัยของประชาชนและการรักษาอธิปไตย ยืนยันไม่มีข้อตกลงลับหรือเงื่อนไขแฝงที่กระทบต่ออธิปไตย พร้อมชี้แจงต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่องเท่าที่ไม่กระทบความมั่นคง และรัฐบาลพร้อมรับผิดชอบทางนโยบายตามระบบ หากเกิดผลกระทบจะมีการประเมินและปรับมาตรการเป็นระยะ

ด้านบทบาทนานาชาติ ไทยยินดีต่อการสนับสนุนเชิงสร้างสรรค์ในกรอบที่เคารพอธิปไตย การยุติการปะทะเพื่อคุ้มครองประชาชนช่วยเสริมความน่าเชื่อถือของไทยในเวทีโลก และลดการบิดเบือนข้อมูล ภาพลักษณ์ไทยจึงถูกมองว่า “เข้มแข็งแต่รับผิดชอบ” และให้ความสำคัญกับมนุษยธรรมควบคู่หลักสากล

หลังครบกำหนด 72 ชั่วโมง จะมีการประเมินสถานการณ์บนพื้นฐานข้อเท็จจริง เพื่อกำหนดแนวทางต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการขยายมาตรการลดความตึงเครียด การปรับการคุ้มครองประชาชน หรือกลับสู่การปฏิบัติหากจำเป็น โดยย้ำว่าไทยยังคงความพร้อมตลอดเวลา หากการเจรจาล้มเหลวหรือมีการละเมิด ไทยมีสิทธิและความพร้อมดำเนินการตามกรอบกฎหมายและหลักสากล

ทั้งนี้ เส้นแดงของไทยคือการละเมิดอธิปไตย การคุกคามประชาชน และการใช้กำลังโจมตีเป้าหมายที่ไม่ใช่ทางทหาร ไทยไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงในพื้นที่ด้วยการยั่วยุหรือการแทรกซึม

จากผลการประชุม GBC เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2568 ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้พลเรือนในพื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบสามารถกลับสู่ที่อยู่อาศัยและประกอบอาชีพภายในฝั่งของตนเองได้โดยเร็ว ภายใต้ความปลอดภัยและศักดิ์ศรี โดยไม่พบการยิงหรือการยั่วยุ สถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้น ทางการขอให้ประชาชนปฏิบัติตามแผนที่จังหวัดกำหนด และติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด