เดือด! 'ชัยธวัช-เต้น ณัฐวุฒิ' ผลัดกันสวนหมัด ปมหลักการตั้งรัฐบาล

วิวาทะเดือด! แกนนำ 2 ขั้ว 'ส้ม-แดง' ปมหัวใจสำคัญจัดตั้งรัฐบาล 'ชัยธวัช' เสียดายไม่น่าไปชุมนุมปี 52-53 ไล่ 'อภิสิทธิ์' ด้าน 'เต้น ณัฐวุฒิ' สวนกลับยาว
KEY
POINTS
- นายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล วิจารณ์หลักการตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย โดยอ้างถึงการที่ตนเคยร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงเพื่อต่อต้านรัฐบาลพรรคอันดับ 2 ที่ตั้งขึ้นในค่ายทหาร
- นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีต ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย โต้แย้งว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงในอดีตเป็นการต่อต้านกระบวนการที่ไม่เป็นธรรมซึ่งนำไปสู่รัฐบาลชุดดังกล่าว ไม่ใช่การต่อต้านระบบรัฐสภา
- นายณัฐวุฒิยืนยันว่าตนเองและพรรคเพื่อไทยยังคงยึดมั่นในหลักการที่พรรคอันดับ 1 ควรได้สิทธิจัดตั้งรัฐบาลก่อน
เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2568 นายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล หนึ่งในแกนนำองคาพยพพรรคส้ม หยิบยกกรณีนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ระบุถึงหัวใจหลักการจัดตั้งรัฐบาลว่า ตามธรรมเนีนยมพรรคที่ได้คะแนนอันดับ 1 มีสิทธิรวมเสียงก่อน แต่ไม่ใช่ใบสั่งให้พรรคอื่นต้องยกมือให้
โดยนายชัยธวัช แชร์ข้อความดังกล่าว พร้อมระบุว่า "เสียดาย ตอนปี 52-53 ไม่น่าไปร่วมต่อสู้ขับไล่รัฐบาลของพรรคอันดับ 2 ที่ตั้งกันในค่ายทหาร"
ทั้งนี้ เมื่อปี 2552-2553 นายชัยธวัช พร้อมด้วยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน (ปชน.) เคยไปร่วมม็อบคนเสื้อแดง เผื่อต่อต้านรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ล่าสุด นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือ "เต้น" อดีตผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย อดีตแกนนำหลักของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โพสต์ข้อความตอบโต้กลับถึงนายชัยธวัช ระบุว่า ไม่มีเจตนาวิวาทะ แต่คุณชัยธวัชพูดสั้นไป ขออธิบายเพิ่มให้ชัดขึ้นครับ หลักใหญ่ของการชุมนุมคนเสื้อแดงช่วงปี 52-53 เพื่อต่อต้านรัฐบาลเวลานั้นไม่ใช่การไม่ยอมรับระบบรัฐสภา หรือรับไม่ได้ว่าพรรคอันดับ 2 เป็นรัฐบาล แต่สาระสำคัญคือเราเห็นชัดและเชื่อว่าขบวนการโค่นล้มรัฐบาลสมัครและรัฐบาลสมชาย นำไปสู่รัฐบาลซึ่งสื่อมวลชนรายงานตรงกันว่าตั้งกันในค่ายทหาร ทั้งหมดเป็นเรื่องเดียวกัน
เราทำรายการความจริงวันนี้ เริ่มต้นชุมนุมที่ธันเดอร์โดม รัชชมังคลากีฬาสถาน วัดสวนแก้ว สนามศุภชลาศัย ช่วงเวลานั้นพรรคพลังประชาชนยังเป็นรัฐบาล แต่คนเสื้อแดงต้องการแสดงพลังว่าไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายที่กำลังทำกันอยู่
เพื่อให้เกิดรัฐบาลใหม่ต้องชุมนุมยืดเยื้อ ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ยึดสนามบินดอนเมือง ล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้ง 2 ชุด ยุบพรรคการเมือง 3 พรรค พลังประชาชน ชาติไทย มัชฌิมาธิปไตย ตัดสิทธิ์กรรมการบริหารทั้ง 3 พรรครวม 109 คน ดึงสมาชิกพรรคพลังประชาชนกลุ่มหนึ่งไปยกมือโหวตนายกฯคนใหม่ ระหว่างทางเกิดกรณีบังคับใช้กฎหมายแบบเลือกปฏิบัติ จนคำว่า 2 มาตรฐานถูกพูดถึงกันทั่วบ้านทั่วเมือง ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คนเสื้อแดงไม่ยอมรับจึงชุมนุมต่อต้าน
ตอนโหวตนายกฯในสถานการณ์นั้น พรรคเพื่อไทยแม้ยังเป็นพรรคอันดับ 1 แต่อยู่ในสภาพบอบช้ำ นายกฯถูกปลด 2 คน กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิ์ไปอีก 37 คน พยายามสู้เพื่อไม่ให้อำนาจรัฐเปลี่ยนข้าง ตัดสินใจลงคะแนนให้พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก จากพรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งเป็นพรรคอันดับ 4 ในการเลือกตั้งเป็นนายกฯ ขั้นตอนนี้เป็นไปตามระบบรัฐสภา และถ้าวันนั้นพล.ต.อ.ประชาได้เป็นนายกฯ พรรคเพื่อไทยก็จะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
เทียบกับการตั้งรัฐบาลปี 2562 แม้รัฐธรรมนูญจะถูกร่างเพื่อสกัดพรรคเพื่อไทยโดยเฉพาะ แต่เมื่อทุกฝ่ายตกลงใจสมัครรับเลือกตั้งก็เท่ากับยอมรับที่จะเล่นในกติกานี้ ผลคือพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเป็นอันดับ 1 พรรคอนาคตใหม่ซึ่งได้ที่ 3 ไม่ได้ตั้งรัฐบาลแข่ง แต่ขอให้พรรคเพื่อไทยโหวตคุณธนาธรเป็นนายกฯ แข่งกับพรรคพลังประชารัฐซึ่งได้ที่ 2 เมื่อกล้าขอก็กล้าให้ ไม่มีอะไรผิดเพราะทั้งเพื่อไทยและอนาคตใหม่ตกลงกันในระบบรัฐสภา และถ้าวันนั้นคุณธนาธรได้เป็นนายกฯพรรคเพื่อไทยก็จะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
คนเสื้อแดงชุมนุมปี 52 - 53 เพื่อต่อต้านขบวนการที่ทำให้เกิดรัฐบาลชุดนั้น ไม่ใช่ต่อต้านระบบรัฐสภา และที่ไม่มีการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลเมื่อปี 2562 ทั้งที่ไม่ยอมรับกติกาดังกล่าวก็เพราะรัฐบาลนั้นตั้งในระบบรัฐสภา แม้ในปี 2563 มีการชุมนุมก็ไม่ได้เกิดจากเหตุใหญ่ว่าพรรคอันดับ 1 ไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่เป็นมูลเหตุจากความไม่ชอบธรรมทางการเมืองหลายด้าน
เลือกตั้งคราวนี้ 3 พรรคสูสี คะแนนจะเกาะกลุ่มกัน ยังไม่ชัดว่าใครจะเป็นที่ 1 2 หรือ 3 แต่เมื่อมีการเชื่อมโยงกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง ผมจึงขอบันทึกให้ปรากฏไว้
เรื่องมารยาททางการเมืองว่าพรรคอันดับ 1 ต้องได้ตั้งรัฐบาลก่อน ส่วนตัวผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง พรรคเพื่อไทยโดยแกนนำหลายคนก็พูดและปฏิบัติตามนี้มาตลอด ไม่มีอะไรแตกต่าง
ส่วนการที่ 4 พรรค ภูมิใจไทย ประชาชน ประชาธิปัตย์ กล้าธรรม ประกาศเป็นงูกินหางว่าจะไม่จับมือกันถือเป็นสิทธิ์ของแต่ละพรรค และประชาชนก็มีสิทธิ์ใช้วิจารณญาณ







