'โรม' ยก 10 ข้อไขคำตอบ ไฉนทุกรัฐบาลไทยปราบ 'สแกมเมอร์' เหลว

'โรม' ยก 10 ข้อ ไขปมทุกรัฐบาลปราบ 'สแกมเมอร์' ถึงล้มเหลว ชี้มีทุจริตจัดการชายแดน รัฐบาลไม่เข้าใจ มองปัญหาเล็กน้อย ละเลยการปราบฟอกเงิน รับมือเส้นเงินซับซ้อนไม่ได้
เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2568 นายรังสิมันต์ โรม แกนนำพรรคประชาชน (ปชน.) โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก "10 ข้อ ทำไมการปราบสแกมเมอร์ในทุกรัฐบาลจึงล้มเหลว" โดยระบุว่า
1. ความล้มเหลวในการบริหารจัดการชายแดนที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นที่รู้กันดีว่าแนวชายแดนไทยมีสิ่งผิดกฎหมายแฝงตัวอยู่มาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการขนของเถื่อน ยาเสพติด หรือการค้ามนุษย์ ซึ่งล้วนเป็นโครงสร้างอาชญากรรมที่ใครก็สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ เมื่อมาเฟียจากจีนต้องหลบหนีออกจากประเทศ พวกเขาเข้ามาตั้งฐานในอาเซียนและร่วมมือกับมาเฟียท้องถิ่นทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน จนเกิดคาสิโนและเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์จำนวนมากตามแนวชายแดน
สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงหลังโควิด คนจำนวนมากตกงานและกลายเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในศูนย์หลอกลวงของแก๊งสแกมเมอร์ การที่เครือข่ายเหล่านี้เติบโตได้โดยแทบไม่มีมาตรการป้องกัน สะท้อนชัดว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนหลับตาข้างหนึ่งและปล่อยให้เกิดขึ้น นี่คือความล้มเหลวของการจัดการชายแดนที่เกิดซ้ำในทุกรัฐบาล
2. รัฐบาลไม่เข้าใจว่ากำลังเผชิญกับอะไร การขาดความเข้าใจทำให้ขาดเจตจำนงทางการเมืองในการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง คำพูดของรัฐมนตรีมหาดไทยคนหนึ่งที่ว่า “ผมเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ไม่ใช่รัฐมนตรีมหาดพม่า” อาจฟังดูเหมือนคำพูดเล่น แต่สะท้อนทัศนคติว่ารัฐบาลในขณะนั้นมองปัญหานี้เป็นเรื่องเล็ก และไม่ใช่ความรับผิดชอบของตนเอง
3. มองสแกมเมอร์เป็นปัญหาเล็ก เน้นจับรายย่อย ไม่แตะโครงสร้างใหญ่ สิ่งที่เห็นซ้ำๆ คือการจับบัญชีม้า ซิมม้า หรือ Sim Box ซึ่งแต่ละคดีใช้งบประมาณและทรัพยากรจำนวนมาก แต่เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คล้ายกับการปราบเว็บพนันที่เน้นปิด URL หรือยึดทรัพย์ให้มีตัวเลขสวยงาม (แล้วก็แอบปล่อยทีหลัง) ขณะที่โครงสร้างหลักไม่เคยถูกทำลาย แทบไม่เคยเห็นการจัดการเซิร์ฟเวอร์หรือโครงข่ายจริงของอาชญากร โดยมักอ้างว่าอยู่ต่างประเทศ ทำอะไรไม่ได้ วิธีคิดเช่นนี้ยิ่งทำให้อาชญากรได้ใจ
4. ละเลยหัวใจสำคัญคือการปราบปรามการฟอกเงิน แม้การฟอกเงินจะเป็นแกนหลักของขบวนการสแกมเมอร์ แต่กลไกนี้กลับถูกใช้อย่างจำกัด ปัญหามาจากทั้งผู้ปฏิบัติ ปปง. และรัฐบาลที่ไม่กำหนดแนวทางชัดเจน การยึดอายัดทรัพย์ต้องผูกกับ Case ID ทำให้กระบวนการล่าช้า สุดท้ายอาชญากรสามารถโยกย้ายทรัพย์สินหนีไปได้จำนวนมาก นี่คือความล้มเหลวเชิงโครงสร้างที่ไม่มีรัฐบาลใดจริงจังกับการแก้ไข
5. ความล้มเหลวในการคืนเงินให้ผู้เสียหาย ทุกรัฐบาลล้มเหลวในประเด็นนี้แทบไม่ต่างกัน การพิสูจน์ว่าเงินที่ยึดอายัดเป็นของเหยื่อรายใดต้องใช้ทั้งเวลาและทรัพยากรบุคคลจำนวนมาก ผลคือแม้จะยึดเงินได้ไม่น้อย แต่กลับไม่สามารถคืนให้ผู้เสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเช่นเดิม ไม่มีรัฐบาลใดคิดแก้ปัญหานี้อย่างเป็นระบบ
6. หน่วยงานรัฐทำงานแยกส่วน ไม่แบ่งปันข้อมูล ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างหวงข้อมูล ปัญหานี้เป็นโรคเรื้อรังของระบบราชการไทย และยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการจัดการอาชญากรรมข้ามชาติ
7. ระบบการเงินมีรูรั่วจำนวนมาก กรณีเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติสะท้อนชัดว่าตลาดทุนและระบบกำกับดูแลของไทยยังรับมือกับโครงข่ายที่ซับซ้อนไม่ได้ การฟอกเงินจึงเกิดขึ้นและขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง เป็นเรื่องที่ต้องตั้งคำถามว่าทำไมบางบริษัทสามารถซ่อนผู้ได้รับประโยชน์ตัวจริง และเข้าไปครอบงำกิจการสำคัญของประเทศได้มากขนาดนี้ นี่คือเรื่องใหญ่ที่รอให้รัฐบาลหน้าไปแก้ไขอย่างจริงจัง
8. แนวคิด “ดีแต่สั่ง” รัฐบาลมักมอบหมายให้หน่วยราชการ ไปดำเนินการ โดยไม่ตรวจสอบว่ามีทรัพยากรเพียงพอหรือไม่ ติดขัดตรงไหน หรือขาดอะไร วิธีคิดแบบนี้นำไปสู่สถานการณ์ที่ “ปราบได้ รัฐบาลได้หน้า ปราบไม่ได้ เป็นความผิดของข้าราชการ” เพราะกุญแจการปราบอยู่ที่ราชการ รัฐบาลยกให้ไปแล้ว แนวทางเช่นนี้ควรถูกยกเลิกได้แล้ว
9. เกรงใจภาคธุรกิจ แต่ละเลยความเดือดร้อนของประชาชน การเติบโตของสแกมเมอร์ส่วนหนึ่งมาจากความล้มเหลวของธนาคารที่ปล่อยให้บัญชีม้าเกิดขึ้นจำนวนมาก เครือข่ายโทรศัพท์ก็ปล่อยให้มีซิมม้าเป็นร้อยต่อคน ขณะที่ผู้ประกอบการคริปโตให้ความสำคัญกับผลกำไรมากกว่าความรับผิดชอบต่อสังคม ที่ผ่านมายังแทบไม่เห็นผู้ประกอบการรายใดชดเชยเยียวยาผู้เสียหายอย่างจริงจัง หากธุรกิจสนใจแต่กำไร ความเดือดร้อนก็จะตกอยู่กับประชาชนต่อไป
10. “ตอ” ไทยเทาที่มีอำนาจ นี่คืออุปสรรคสำคัญที่สุด การปราบสแกมเมอร์ไม่มีทางสำเร็จ หากแขนขาในประเทศไทย ทั้งข้าราชการและนักการเมือง ยังเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายสีเทา รัฐบาลก่อนๆ รู้หรือไม่ว่าใครเป็นใคร รู้ แต่ไม่จัดการ การปล่อยให้เรื่องเหล่านี้กลายเป็นเรื่องปกติของสังคมไทย มีแต่จะทำให้การปราบสแกมเมอร์ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"สุดท้ายนี้ ความท้าทายในอนาคตไม่ใช่ว่ารัฐบาล (ไม่ว่าพรรคใด) จะมีนโยบายต่อต้านสแกมเมอร์หรือไม่ แต่คือ จะเอาจริง เอาจัง และมีประสิทธิภาพเพียงใด หากไม่รื้อโครงสร้าง ไม่ตัดวงจรเงิน และไม่แตะผู้มีอำนาจ การปราบสแกมเมอร์ก็จะไม่มีวันสำเร็จได้จริง" นายรังสิมันต์ ระบุ







