ทภ.2 ลั่น ศาลโลกไม่เคยตัดสินพื้นที่ 4.6 ตร.กม. รอบปราสาทพระวิหาร

ทภ.2 ลั่น ศาลโลกไม่เคยตัดสินพื้นที่ 4.6 ตร.กม. รอบปราสาทพระวิหาร

ทภ.2 ลั่น "ศาลโลก" ไม่เคยตัดสินเส้นเขตแดน-พื้นที่รอบ "ปราสาทพระวิหาร" ชี้พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นช่องว่างคำพิพากษา ซัดกัมพูชา ใช้มรดกโลกเป็นเครื่องมือการเมือง

 

วันที่ 25 ธ.ค.68 เพจกองทัพภาคที่ 2 เผยแพร่ข้อความว่า ปฐมเหตุความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ปราสาทพระวิหาร พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร และดินแดนที่ไทยสูญเสียในอดีต

1.) ปฐมเหตุแห่งข้อพิพาท : คดีเขาพระวิหาร

ข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา มีจุดเริ่มต้นสำคัญจากกรณี ปราสาทพระวิหาร เมื่อกัมพูชายื่นฟ้องต่อ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)

ฝ่ายไทยในขณะนั้นเข้าร่วมกระบวนการด้วยความเชื่อว่าเป็นศาลแห่งความยุติธรรม แต่ผลลัพธ์กลับสะท้อนความเป็น “ศาลการเมืองระหว่างประเทศ” มากกว่าการพิจารณาตามภูมิประเทศจริง

คำพิพากษา ปี พ.ศ.2505 มี 3 ประเด็นหลัก

 1. ตัวปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนของกัมพูชา
 2. ไทยต้องถอนกำลังออกจากบริเวณตัวปราสาท
 3. ไทยต้องคืนโบราณวัตถุที่นำออกไปหลังปี 2497

ข้อสำคัญ: ศาล ไม่เคยตัดสินเส้นเขตแดน และไม่เคยระบุพื้นที่รอบปราสาท

2.) พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร : ช่องว่างของคำพิพากษา

คณะรัฐมนตรีไทยในปี 2505 ตีความว่ากัมพูชามีสิทธิ เฉพาะตัวปราสาท ไทยจึงล้อมลวดหนามรอบปราสาทอย่างแคบที่สุด

แต่กัมพูชากลับใช้ แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เป็นฐานอ้างสิทธิ ซึ่งหากยึดตามนั้น ไทยจะสูญเสียดินแดนจำนวนมาก รวมถึง

 • ภูมะเขือ
 • พลาญอินทรี
 • ช่องคานม้า
 • โบราณสถานตลอดแนวชายแดน
 • และผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ในอ่าวไทย

ผลคือ การเกิด “พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร”

3.) การใช้มรดกโลกเป็นเครื่องมือทางการเมือง

ปี 2549–2551 กัมพูชาพยายามนำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดกโลก โดยรวมพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร แม้ไทยจะยืนยันให้ขึ้นทะเบียนเฉพาะ “ตัวปราสาท”

วันที่ 7 กรกฎาคม 2551 UNESCO ประกาศขึ้นทะเบียน ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาโดยไม่ครอบคลุมพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร แต่ความตึงเครียดตามแนวชายแดนได้เริ่มปะทุแล้ว

4.) ความรุนแรง และการรุกคืบ (2551 – 2554)

 • ต.ค.2551 – ปะทะบริเวณห้วยตานี – ภูมะเขือ
 • เม.ย.2552 – ภูมะเขือ – ผามออีแดง
 • ก.พ.2554 – สงคราม 4 วัน ใกล้ปราสาทพระวิหาร
 • เม.ย.– พ.ค.2554 – ปราสาทตาควาย – ตาเมือนธม

กัมพูชาดำเนินการ รุกคืบเชิงพื้นที่ อย่างเป็นระบบ

 • สร้างชุมชน
 • สร้างถนนคอนกรีต
 • สร้างวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ
 • เชื่อมเส้นทางขึ้นช่องคานม้า – พลาญอินทรี – ตัวปราสาท ทั้งหมดเป็นการละเมิด MOU43 อย่างชัดเจน

5.) คำพิพากษาตีความ ปี 2556 : ไม่ได้ให้ 4.6 ตารางกิโลเมตร

กัมพูชายื่นคำร้องให้ ICJ ตีความใหม่ โดยศาลโลกมีคำตัดสินว่า

 • ไม่ยกพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ให้กัมพูชา
 • ภูมะเขือไม่เกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร
 • แต่เห็นว่าไทยล้อมพื้นที่ชิดตัวปราสาท “แคบเกินไป” 

อย่างไรก็ตาม ศาลไม่ระบุแนวเขตที่ชัดเจน และโยนภาระให้สองประเทศเจรจาเอง

6.) ความจริงเชิงยุทธศาสตร์ในปัจจุบัน

ตลอดมา กัมพูชาใช้ทุกวิธีทั้งการแทรกซึม การตั้งฐานทหาร อ้างการลาดตระเวนร่วม ค่อยๆ ขยายพื้นที่ทีละนิด พื้นที่สำคัญที่ถูกคุกคาม ได้แก่

 • พลาญอินทรี
 • ช่องคานม้า
 • ห้วยตามาเรีย
 • ภูมะเขือด้านหน้าผา
 • ช่องโดนเอาว์
 • พลาญยาว–พลาญหินแปดก้อน

ฐานยิง และอาวุธวิถีโค้งจากฝั่งเขาพระวิหาร ถือเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อกำลังพลไทย

7.) สิทธิในการป้องกันตนเองของไทย

ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ไทยมีสิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเอง (Right to Self-Defense) และทำลายภัยคุกคามที่คุกคามกำลังพล และอธิปไตย

เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนคือ สถาปนาอำนาจรัฐไทยตามแผนที่ 1:50,000 ปิดช่องคานม้าตัดเส้นทางลำเลียงขึ้นปราสาทจากฝั่งกัมพูชา

นี่ไม่ใช่เพียงเรื่อง “อดีต” แต่คือ สมรภูมิแห่งความทรงจำ อธิปไตย และศักดิ์ศรีของชาติ แผ่นดินที่เสียไปในอดีตไม่ได้แปลว่าเราต้องยอมเสียในปัจจุบัน

ขอเป็นกำลังใจให้ทหารไทยทุกนายที่ยืนอยู่แนวหน้าเพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน ประชาชนไทยจำนวนมากพร้อมสู้ และยืนอยู่เคียงข้างกันเสมอ เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินนี้ 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์