ปิดฉาก ‘3 ป.’ ทหารการเมือง

ปิดฉาก ‘3 ป.’ ทหารการเมือง

ฉากสุดท้ายของพรรค “3 ป.” ที่กำลังปิดฉาก “ทหารการเมือง” ที่มากบารมี และอยู่ในอำนาจนานที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย

KEY

POINTS

  • พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนของการวางมือทางการเมือง
  • พรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองของกลุ่ม “3 ป.” กำลังเผชิญภาวะเสื่อมถอย สมาชิกคนสำคัญลาออก และความนิยมตกต่ำลง
  • ความขัดแย้งภายในกลุ่ม “3 ป.” จนนำไปสู่การแยกทางกัน ประกอบกับผลการเลือกตั้งที่ไม่เป็นใจ ถือเป็นการปิดฉากยุคสมัยของ “ทหารการเมือง” ที่ครองอำนาจมายาวนาน

สัญญาณวางมือทางการเมืองของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เกิดขึ้นชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีมา นับตั้งแต่ก่อตั้งพรรค หลังขอถอนตัวจากเบอร์ 1 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ด้วยเหตุผลปัญหาสุขภาพ

การเดินหน้าเตรียมความพร้อมลงสนามเลือกตั้ง ปี 2569 ของ “พลังประชารัฐ” ในช่วงหลัง ออกอาการติดๆ ขัดๆ ไม่ค่อยไม่อู้ฟู่เหมือนวันเก่าก่อน 

ก่อนหน้านี้บรรดา“นักการเมือง” เขี้ยวลากดินน้อยใหญ่ หลายคนที่หมดทางไป พากันมารวมตัวที่“ค่ายบ้านป่าฯ” เนื่องจากมองว่าฝันอันใหญ่ยิ่งของ “บิ๊กป้อม” ยังมุ่งมั่นเดินไปให้ถึง จึงพาเหรดขอเข้าสังกัด แลกกับของติดกระเป๋าไว้ใช้กันมือเติบ แต่ไม่ทันไร พอเห็นอาการ “ลุง” ไม่สู้ดี จึงชิงเผ่น ทิ้งพรรคแบบไร้เยื่อใยกันเป็นแถว

ย้อนกลับไปจุดกำเนิดของ “พรรคพลังประชารัฐ” มาจากการต่อยอดของทางการเมืองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งครองอำนาจหลังการรัฐประหารปี 2557 ยาวนาน 5 ปี ร่างรัฐธรรมนูญ 2560 จนถูกตีตราว่า “รัฐธรรมนูญนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” 

ก่อนการเลือกตั้งปี 2562 “พี่น้อง 3 ป.” ประกอบด้วย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร่วมกันก่อร้างสร้างพรรคการเมือง โดยใช้ชื่อ “พรรคพลังประชารัฐ” ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้เรียกโครงการของรัฐบาลในขณะนั้น

“3 ป.” ใช้บริการของเครือข่ายการเมือง “กลุ่มสามมิตร-กลุ่มกปปส.-กลุ่มบ้านใหญ่” รวมกันเฉพาะกิจ ก่อนจะกวาด สส.116 ที่นั่ง ผนึก “พรรครวมรัฐบาล” บวกกับ 250 เสียงของ สว. ส่ง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งเก้าอี้นายกฯสมัยสอง เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ประคับประคอง “อำนาจสีเขียว” จนเกือบครบวาระ 4 ปี

ทว่า ความขัดแย้งของ “3 ป.” โดยเฉพาะ “พี่ประวิตร - น้องประยุทธ์” ทวีความรุนแรงอย่างมาก ภายหลังมีปฏิบัติการลับ “ลูกน้องบ้านป่า” เปิดเกมล้ม “บิ๊กตู่” พ้นเก้าอี้นายกฯ แต่ปฏิบัติการล้มเหลว ส่งผลให้ความสัมพันธ์ “พี่น้อง 3 ป.” เกิดรอยร้าว

ต่อมาก่อนการเลือกตั้งปี 2566 “น้องตู่” พยายามเดินเกมเข้ายึด “พลังประชารัฐ” จากอ้อมอกของ “พี่ป้อม” แต่ไม่สำเร็จ จึงต้องแยกทางมาสร้างอาณาจักรของตัวเอง ก่อกำเนิด “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ลงสู้ศึกเลือกตั้ง ทำให้ความสัมพันธ์ “พี่น้อง 3 ป.” ต้องขาดสะบั้นลง

ผลการเลือกตั้งปี 2566 มีสัญญาใจ “พี่ป้อม - น้องตู่” พรรคใครได้ สส. มากกว่ากันจะได้นั่งเก้าอี้นายกฯ จัดตั้งรัฐบาลก่อน ทว่าผลลัพธ์ที่ออกมา “พลังประชารัฐ” ได้ 40 สส. “รวมไทยสร้างชาติ” ได้ 36 สส. ส่งผลให้ “พี่ป้อม - น้องตู่” อำนาจต่อรองแทบไม่เหลือ แม้จะมี 250 สว. ช่วยโหวต แต่เสียงในสภาฯไม่เพียงพอ 

เปิดทางให้ “หัวขบวนอนุรักษ์” ต้องดีล “เพื่อไทย” มาจัดตั้งรัฐบาล ส่ง “ประยุทธ์” ลงจากเก้าอี้นายกฯ ส่วน“ประวิตร”ต้องฝันค้าง แม้ “พลังประชารัฐ” จะได้ร่วมรัฐบาลเพื่อไทย แต่โดนเขี่ยออกในภายหลัง

ทว่า พลังใจบันดาลแรง “บิ๊กป้อม” ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ประคับประคองพลังประชารัฐแต่กลับโดน “ลูกน้องเคยรัก” หักหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

จนกระทั่งเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งปี 2569 ความหวังนั่งเก้าอี้นายกฯที่ไม่เคยเลือนหาย “บิ๊กป้อม” เดินหน้ารวบรวม “ขุนพลเกรดรอง” หวังกอบโกย สส. เข้าสภาฯ ทว่าด้วยสุขภาพที่โรยรา ความคิดอ่านไม่เฉียบแหลมเหมือนวันเก่าก่อน บารมีลดน้อยถอยลง “นักการเมือง” ที่มาห้อมล้อม หวังผลประโยชน์

ล่าสุด“บิ๊กป้อม” ขอถอยฉากทางการเมือง โดย ไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค เปิดเผยภายหลังการประชุมกรรมการบริหารพรรคว่า ที่ประชุมมีการพิจารณาเกี่ยวกับการเสนอชื่อผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อ และแบ่งเขต รวมถึงแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ในส่วนแคนดิเดตนายกฯ

โดย พล.อ.ประวิตร ขอถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกฯ และเปลี่ยนให้ "ตรีนุช เทียนทอง"รมว.แรงงาน ในฐานะเลขาธิการพรรค มาเป็นแคนดิเดตนายกฯเบอร์ 1 แทน ส่วนแคนดิเดตนายกฯ คนที่ 2 คือ ธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรค

“ไพบูลย์” ยืนยันว่า “บิ๊กป้อม” ยังคงนั่งเก้าอี้ “หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ” เพราะจะต้องเซ็นหนังสือรับรองผู้สมัคร สส.เขต และสส.บัญชีรายชื่อ 

สถานการณ์โดยรวมของ “พลังประชารัฐ” เดินมาถึงฉากที่ “บิ๊กป้อม” ลุงใจดีต้องปิดฉากลง เตรียมส่งไม้ต่อให้ “ตรีนุช เทียนทอง” แม้จะการันตี 2 เก้าอี้ สส. สระแก้ว แต่โอกาสคว้าเก้าอี้ สส. ปาร์ตี้ลิสต์ สส.เขต ในพื้นที่อื่นมีน้อยนิด

ข้ามฟากไปที่ “รวมไทยสร้างชาติ” พรรคการเมืองจากผลผลิตของ “บิ๊กตู่” ในมือของ “หัวหน้าตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค สภาพภายในพรรคแทบไม่ต่างกัน 

ระหว่างการร่วมรัฐบาลเพื่อไทย “พีระพันธุ์” บริหารพรรคแบบไม่บริหาร ทำให้เกิดความแตกแยกเป็นสองสาย “สายกลุ่มทุน” ต้องการล้ม “หัวหน้าพี” ด้าน “สายเลขาฯขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ พยายามประคับประคองเก้าอี้หัวหน้า แต่ฉากจบทั้ง “สายกลุ่มทุน-สายเลขาฯขิง” ตัดสินใจโบกมือจาก รทสช. เพราะความแข็งกร้าวของ “หัวหน้าพี”

แม้ “พีระพันธุ์”ยังพยายามผลักดัน “รวมไทยสร้างชาติ” ที่ไร้กระแสลุงตู่ ลงสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569 อย่างแข็งขัน แต่บรรดา “บิ๊กเนม” ที่พาเหรดกันออกจากพรรค ทำให้โอกาสที่จะได้ สส.เขต และบัญชีรายชื่อ ลดน้อยลง 

ขณะเดียวกัน “พีระพันธุ์” ที่พยายามออกมาสื่อสารกับสาธารณะมากขึ้น เพื่อคาดหวังคะแนนนิยมของพรรคให้กลับมาใกล้เคียงกับยุค ลุงตู่ แต่ผลโพลสะท้อนยังออกมาว่า รวมไทยสร้างชาติความนิยมพรรคตกต่ำลงมาก

ทั้งหมด คือฉากสุดท้ายของพรรค “3 ป.” ที่กำลังปิดฉาก “ทหารการเมือง” ที่มากบารมี และอยู่ในอำนาจนานที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย