กกต.ปิดตายนโยบาย ‘ประชานิยม’ - ‘อินฟลูฯ’ ลง สส.ไม่ผิด กม.หุ้นสื่อ

กกต. ตั้งคณะกรรมการจาก 8 หน่วยงานเพื่อตรวจสอบนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองที่ต้องใช้งบประมาณ โดยพรรคต้องชี้แจงรายละเอียด ที่มาของเงิน และผลกระทบอย่างครบถ้วน
KEY
POINTS
- กกต. ตั้งคณะกรรมการจาก 8 หน่วยงานเพื่อตรวจสอบนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองที่ต้องใช้งบประมาณ โดยพรรคต้องชี้แจงรายละเอียด ที่มาของเงิน และผลกระทบอย่างครบถ้วน
- อินฟลูเอนเซอร์ ยูทูบเบอร์ และผู้ผลิตคอนเทนต์ออนไลน์ สามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง สส. ได้ เนื่องจากไม่ถือเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชนซึ่งเป็นลักษณะต้องห้าม
- ป.ป.ช. ได้เสนอเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบายให้ กกต. เพื่อใช้เป็นกรอบป้องกันนโยบายหาเสียงที่ส่อไปในทางทุจริตตั้งแต่ต้นทาง
นับถอยหลังอีกไม่กี่วัน สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเปิดรับสมัคร สส.ของแต่ละพรรคการเมือง ระหว่างวันที่ 27-31 ธ.ค. 2568 และเปิดรับสมัคร สส.บัญชีรายชื่อ พร้อมกับส่งชื่อบัญชีแคนดิเดตนายกฯ ระหว่างวันที่ 28-31 ธ.ค.นี้
ความเคลื่อนไหวล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หนึ่งในองค์กรอิสระที่เข้ามามีส่วนในการทำเกณฑ์ป้องกันความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายของพรรคการเมือง ในช่วงหาเสียง เลือกตั้ง มีมติเห็นชอบให้เสนอเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบาย ในขั้นตอนการพัฒนานโยบาย (Policy Formation) ของพรรคการเมือง และแนวทางการขับเคลื่อนเพื่อรองรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี พ.ศ. 2569 ต่อคณะกรรมการ กกต. ตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 เรียบร้อยตั้งแต่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา
โดยการจัดทำเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงดังกล่าว ไม่ได้มีเจตนาแทรกแซงกิจกรรมทางการเมือง หรือตัดสินว่านโยบายใดถูกหรือผิด แต่เป็นกรอบที่ช่วยให้พรรคการเมืองแสดงความพร้อมและความรับผิดชอบต่อนโยบายที่นำเสนอ ตลอดจนเป็นข้อมูลสำคัญให้ประชาชนสามารถประเมินความน่าเชื่อถือของนโยบายได้อย่างรอบด้าน ลดความเสี่ยงและสกัดกั้นการสร้างนโยบายที่มีลักษณะเป็นการทุจริตเชิงนโยบายตั้งแต่ต้นทาง อันเป็นการยกระดับการเมืองที่สุจริต โปร่งใส ปลอดจากการทุจริต การดำเนินการในครั้งนี้สอดคล้องกับรัธธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
วานนี้ (23 ธ.ค.) ที่สำนักงาน กกต. ร.ต.อ.ชนินทร์ น้อยเล็ก รองเลขาธิการ กกต. และนายเกรียงไกร พานดอกไม้ รองเลขาธิการ กกต. ประชุมชี้แจงสื่อมวลชนถึงข้อควรระวัง ในการรายงานข่าวการเลือกตั้ง สส. 2569 ว่า การหาเสียงที่ไม่ผิดกฎหมาย คือ การขายความคิด การขายนโยบาย และการขายเครดิต โดยไม่มีเงินเข้ามาเกี่ยวข้องจะถือว่าเป็นการหาเสียงที่แท้จริง และห้ามสื่อมวลชนทำโพลโดยมีเจตนาไม่สุจริต มีลักษณะชี้นำหรือมีผลต่อการตัดสินใจลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนน มีความผิดตามมาตรา 72 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 รวมทั้งห้ามมีการเปิดเผยผลโพลในระหว่างเวลา 7 วันก่อนวันเลือกตั้งถึงเวลาปิดการลงคะแนน
เตือนผู้สมัคร สส.หาเสียงใส่ร้าย-ใส่ความเท็จ
ร.ต.อ.ชนินทร์ กล่าวว่า การทำลายเครื่องมือและกระบวนการในการจัดการเลือกตั้ง เช่น การทำให้บัตรเสียหาย รวมถึงการทำลายเจตนารมณ์การเลือกตั้งโดยตรงและโดยลับ ทำให้การเลือกตั้งไม่มีเสรีภาพ มีการจ้างให้สิ่งของ ข่มขู่ หรือการพนันจัดการเลือกตั้ง ถือเป็นฐานความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง กกต.จะต้องมีการออกกฎระเบียบและรายละเอียดของฐานความผิดต่อไป
ส่วนกรณีสัญญาว่าจะให้ จัดการเงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ว่า ขอให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งระมัดระวังเรื่องการทำบุญใส่ซอง หาเสียงด้วยการจัดให้มีมหรสพรื่นเริง รวมถึงห้ามจูงใจว่าจะจัดเลี้ยง หรือรับจะจัดเลี้ยงให้แก่ผู้ใด ส่วนที่เป็นปัญหามากคือการปราศรัยใส่ร้ายด้วยความเท็จ สื่อมวลชนต้องระมัดระวัง อย่ากลายเป็นเครื่องมือของพรรคการเมือง พร้อมทั้งเน้นย้ำลักษณะต้องห้ามทั้งกรณีติดยาเสพติดให้โทษ ล้มละลายหรือเคยล้มละลายทุจริต เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน
‘อินฟลูฯ-ยูทูบเบอร์’ลงสส.ได้ ไม่ผิดกม.หุ้นสื่อ
ขณะที่ผู้ประกอบวิชาชีพ เช่น อินฟลูเอนเซอร์ ยูทูปเปอร์ คอนเทนต์ครีเอเตอร์ สื่อออนไลน์ ที่มีการทำคอนเทนต์ในลักษณะเอนเตอร์เทนต์เมนต์หรือสื่อสารสาธารณะเผยแพร่วิเคราะห์ข่าวสารทางการเมือง โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นรายได้จากบริษัทหรือผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน ถือเป็นเพียงผู้ใช้สื่อ ไม่เข้าข่ายพฤติการณ์เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน อันเป็นลักษณะต้องห้ามที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ลงสมัครได้
ตรวจเข้มนโยบายประชานิยมพรรคการเมือง
ขณะที่ นายเกรียงไกร กล่าวเน้นย้ำถึงการกำหนดนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองหรือนโยบายประชานิยม ว่า พรรค ต้องรับฟังความเห็นของสาขาพรรคและตัวแทนพรรคประจำจังหวัด โดย นโยบายหาเสียงที่ต้องใช้เงิน จะต้องรายงาน กกต. โดยนโยบายจะต้องมีรายละเอียดวงเงินที่ต้องใช้ และที่มาของเงินที่จะใช้ดำเนินการ ความคุ้มค่าและประโยชน์ รวมถึงผลกระทบและความเสี่ยง ต้องมีการกำหนดข้อมูลเหล่านี้ให้ครบถ้วน และส่งให้ กกต.ทราบได้ตั้งแต่บัดนี้ หรืออย่างช้าที่สุดก่อนเลือกตั้ง 20 วันหรือประมาณวันที่ 10 ม.ค.2569 ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีพรรคใดส่งนโยบายมาให้ กกต.
เมื่อ กกต.ได้รับนโนบายของพรรคการเมืองแล้ว ครั้งนี้มีการตั้งคณะกรมการขึ้นมาตรวจสอบ โดยประกอบด้วยผู้แทน 8 หน่วยงานที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการเงิน ทางเศรษฐกิจ ประกอบด้วย 1.ผู้แทนของกระทรวงการคลัง 2.กระทรวงพาณิชย์ 3.สำนักงบประมาณ 4.สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5.ธนาคารแห่งประเทศไทย 6.สำนักงาน ป.ป.ช. 7.สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) 8.สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
ก่อนเสนอให้ กกต.พิจารณา หากพบว่าพรรคการเมือเสนอไม่ครบถ้วน ก็จะแจ้งให้แก้ไข ซึ่งในการเลือกตั้งปี 2566 มีพรรคการเมืองส่งนโยบายหาเสียงมาให้ กกต. 743 นโยบาย และ กกต.ได้สั่งให้แก้ไข 10 พรรค โดยทุกพรรคให้ความร่วมมือ
“ครั้งนี้เราจะเข้มกว่าทุกครั้ง เราแจ้งพรรคการเมืองไปแล้วว่าต้องดำเนินการอย่างไร มีการส่งแบบฟอร์มให้กรอก เราให้ความสำคัญกับการตรวจสอบนโยบายของพรรคการเมือง จึงตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมา ซึ่งในวันพรุ่งนี้(24 ธ.ค.) ทั้ง 8 หน่วยงานจะส่งรายชื่อมายัง กกต.และเมื่อ กกต.มีคำสั่งแต่งตั้งก็จะประชุมทันที เพื่อจะกำหนดกรอบการทำงาน” นายเกรียงไกร กล่าว
เปิดช่อง ปชช.ตรวจสอบพรรคทำตามที่หาเสียงไว้หรือไม่
ทั้งนี้ การตรวจสอบนโยบาย กกต.ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขกฎหมาย ซึ่งต้องแยกกับการที่พรรคการเมืองหาเสียงแล้ว ได้นำนโยบายนั้นไปปฏิบัติหรือไม่ เพราะเป็นหน้าที่ของพรรค เคยหาเสียงไว้แล้วว่าต้องทำนโยบายนั้น เมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้วได้ทำหรือไม่ ซึ่งประชาชนต้องไปติดตามและตัดสินว่าพรรคเคยสัญญาและได้ทำตามที่สัญญาไว้หรือไม่ ถือเป็นสำนึกและความรับชอบที่แต่ละพรรคการเมืองต้องพิจารณา
“บางเรื่องเขาอาจไม่ได้เป็นรัฐบาลก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่บางเรื่องเขาได้เป็นรัฐบาล ได้คุยกับพรรคร่วม แล้วนโยบายนั้นตกไป ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ประชาชนต้องดูว่าเขาผลักดันนโยบายนั้นไปสู่สัญญาที่ได้ให้ไว้หรือเปล่า หรือได้พยายามผลักดันนั้นต่อพรรคร่วมเพื่อให้เป็นนโยบายของพรรคร่วมหรือเปล่า ซึ่งเป็นข้อมูลที่ประชาชนใช้ตัดสินใจในการเลือกเป็น สส.หรือไม่” นายเกรียงไกร กล่าว
นับเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวในช่วงโค้งสุดท้าย ก่อนประเทศไทยเข้าสู่โหมดเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ในช่วงหลังปีใหม่ 2569







