4 พรรค ชิง 33 เขต กทม. เลือกตั้ง 69 ‘เมืองหลวง’ ศึกวัดกระแส

4 พรรค ชิง 33 เขต กทม.  เลือกตั้ง 69 ‘เมืองหลวง’ ศึกวัดกระแส

“4 พรรคหลัก” ที่มีโอกาสลุ้นเก้าอี้ “สส.เมืองหลวง” แม้ “พรรคประชาชน” จะมีแต้มต่อมากกว่าพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ แต่ “คนเมืองหลวง”เดาใจได้ยาก กระแสพลิกผันได้จนถึงวันกาบัตร 

KEY

POINTS

  • การเลือกตั้ง สส. กทม. 33 เขต เป็นศึกวัดความนิยมของ 4 พรรคการเมืองหลัก ได้แก่ พรรคประชาชน, เพื่อไทย, ภูมิใจไทย และประชาธิปัตย์
  • พรรคประชาชน แชมป์เก่าจากการเลือกตั้งปี 66 ยังมีกระแสความนิยมนำอยู่ แต่ปรับกลยุทธ์ย้าย สส. ที่มีความเสี่ยงทางคดีไปลงบัญชีรายชื่อ
  • พรรคเพื่อไทยเน้นเจาะพื้นที่เป้าหมาย ขณะที่พรรคภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์หวังดึงคะแนนจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่เคยเทให้พรรคก้าวไกลกลับคืนมา

 ศึกเลือกตั้ง 8 ก.พ. 2569 โจทย์ใหญ่ของ “พรรคการเมือง” เบอร์ต้นๆ ต้องการยึดครอง สส. กทม. ให้ได้มากที่สุด เพราะจะเป็นตัวชี้วัดความนิยมของพรรค บรรดาทีมยุทธศาสตร์จึงต้องวางกลยุทธ วางเกม เพื่อช่วงชิงกันทุกวินาที

แชมป์เก่าอย่าง “พรรคประชาชน” หรืออดีตพรรคก้าวไกล เคยขี่กระแส “หัวหน้าทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ยิงม็อตโต้ “มีเราไม่มีลุง มีลุงไม่มีเรา” พาลูกพรรคสีส้ม เข้าวิน 32 ที่นั่ง (จาก 33 ที่นั่ง) พลาดไปแค่ 1 เก้าอี้ให้กับ “สส.อิ่ม” ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ เขตลาดกระบัง

หากย้อนไปการเลือกตั้งปี 2562 “อดีตพรรคอนาคตใหม่” เป็นจุดเริ่มต้นของ “กระแสสีส้ม” สร้างเซอร์ไพรส์ทางการเมือง เมื่อพรรคน้องใหม่ ฝ่าด่าน “กระแสลุงตู่” คว้าเก้าอี้ สส. กทม. 9 ที่นั่ง แม้จะมีตัวแปรจากการยุบพรรคไทยรักษาชาติ ที่แตกยอดมาจาก “พรรคเพื่อไทย” ทำให้พื้นที่ที่ “ค่ายสีแดง” ไม่ส่งผู้สมัคร ต้องเทให้ “พรรคอนาคตใหม่”

หลังจากนั้น “พลพรรคสีส้ม” สร้างผลงานในฐานะ “ฝ่ายค้าน” เสนอกฎหมายก้าวหน้าหลายฉบับ ทำให้แบรนด์ “คนรุ่นใหม่” เริ่มเป็นความหวังให้ “คนเมือง” บวกกับกระแสเบื่อลุง ส่งผลให้ “พิธา - ก้าวไกล” กวาด 32 ที่นั่งในการเลือกตั้งปี 2566

อย่างไรก็ตาม ศึกชิง “เมืองหลวง” รอบใหม่ที่กำลังจะมาถึง “กระแสสีส้ม” ยังมีความได้เปรียบอยู่มาก เพราะ “คนเมืองหลวง” ยังไม่ได้ใช้งาน “พรรคประชาชน” ในฐานะฝ่ายบริหาร จึงอยากลองของใหม่

แม้ความนิยมในตัวผู้นำของ “หัวหน้าเท้ง” ณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน จะยังไม่พีคเหมือน “กระแสพิธา” แต่ระยะเวลาอีกเกือบ 2 เดือน ยังมีเวลาสร้างความนิยม

ขณะเดียวกันในทางยุทธศาสตร์ “พรรคประชาชน” เปลี่ยนเกมด้วยการอัปเกรด “อดีต สส. กทม.” ระดับแม่เหล็ก ให้สมัคร สส.ปาร์ตี้ลิสต์ เนื่องจาก “ตัวดูดแต้ม” หลายคน สุ่มเสี่ยงจะโดนคดีที่ติดชนักอยู่ อาทิ รักชนก ศรีนอก อดีต สส. กทม. เขตบางบอน ติดคดี ม.112 ปิยรัฐ จงเทพ อดีต สส. กทม. เขตบางนา ติดคดี ม.112 และ ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ อดีต สส. กทม. เขตบางขุนเทียน ติดคดี 44 สส.กรณี พรรคก้าวไกล เสนอแก้ไข ม.112

โดยประเมินความเสี่ยงว่า แนวโน้มทางคดีของ “รักชนก - ปิยรัฐ - ณัฐชา” มีความเสี่ยงสูง ที่จะหลุดจากเก้าอี้ สส. ดังนั้นการอัปเกรดไปลง สส.บัญชีรายชื่อ หากหลุดจากเก้าอี้ ยังสามารถเลื่อนบัญชีรายชื่อของ “พรรคประชาชน” ขึ้นมาทดแทนได้ทันที ไม่ต้องไปลุ้นการเลือกตั้งซ่อม

ส่วนอดีต สส. กทม.รายอื่น ชื่อเดิมยังอยู่กันเกือบครบ มีเพียง สิริลภัส กองตระการ และธิษะณา ชุณหะวัณ ที่หลุดจากวงโคจร ไม่ได้ลงสมัคร สส. กทม.ในสังกัดพรรคประชาชนต่อไป

“พรรคเพื่อไทย” แม้จะไม่เคยคว้าแชมป์ สส.กทม. แต่มักจะแบ่งเก้าอี้ “ผู้แทนเมืองหลวง” ทุกครั้ง แต่ในปี 2566 พลาดเป้าไปเยอะ โดยได้มาเพียง 1 ที่นั่ง มารอบนี้ “ค่ายแดง” ปรับยุทธศาสตร์พอสมควร

“บิ๊กค่ายแดง” ปักหมุดพื้นที่หวังผลได้ ประกอบด้วย พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ เขตคันนายาว ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ เขตลาดกระบัง สุรชาติ เทียนทอง เขตจตุจักร-บางซื่อ ภูมิพัฒน์ โหสกุล (ลูกชายการุณ โหสกุล) เขตดอนเมือง เป็นต้น

ว่ากันว่า มีการตัดเกรดผู้สมัคร สส. กทม. เพื่อจัดเรียงลำดับความสำคัญ ก่อนจะทุ่มสรรพกำลังไปในพื้นที่ โดยในสนาม กทม. มี “เสี่ยโฟม” พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หลานชายสุดเลิฟของ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย

“พรรคเพื่อไทย” คาดหวังว่า แต้มของ “กระแสสีส้ม” ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยมาจาก “ขั้วอนุรักษ์” สร้างปรากฎการณ์แต้มข้ามขั้ว แต่รอบนี้อาจจะไหลกลับไปยัง “ขั้วอนุรักษ์” เนื่องจากมีกระแสชาตินิยม จากการปะทะกันแนวชายแดน ไทย-กัมพูชา ส่งผลให้แต้มการเมืองของ “พรรคประชาชน” ลดลง

เมื่อกระแสสีส้มลดลง จึงอาจจะเป็นโอกาสให้ “พรรคเพื่อไทย” ลุ้นเก้าอี้ สส. กทม. ได้ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สามารถบริหารจัดการแต้มการเมืองได้

ขณะที่สถานการณ์ของ “พรรคภูมิใจไทย” สนามเมืองหลวง เสมือนของแสลง เนื่องจาก “ค่ายสีน้ำเงิน” ไม่เคยได้ สส. กทม. เข้าสภาแม้แต่คนเดียว แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ “บิ๊กสีน้ำเงิน” ตั้งความหวังเอาไว้สูง เนื่องจากได้ “ขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อดีตเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ มาช่วย

“เอกนัฏ” มีแบรนด์ “อนุรักษ์” ติดตัว มีเครือข่ายใน กทม.พอสมควร เพราะเคยสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และเคยนั่งเก้าอี้ สส. กทม. สมัยสังกัดพรรคสีฟ้า โดยมี “อดีตสส.โอ๋” ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ อดีต สส. กทม. เขตบางกะปิ เป็นตัวความหวัง

อย่างไรก็ตาม จุดพลิกที่จะทำให้ “ภูมิใจไทย” มีโอกาสคว้าเก้าอี้ สส. กทม. อยู่ที่กระแสชาตินิยม หากเหตุปะทะชายแดน ไทย-กัมพูชา เดินไปถึงจุดที่ “นายกฯหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล เก็บความนิยมมาได้ ย่อมมีโอกาสไม่น้อยเช่นกัน

“พรรคประชาธิปัตย์” สูญพันธุ์จากสนามเมืองหลวงมา 2 รอบ ทั้งการเลือกตั้งปี 2562 และปี 2566 ความนิยมในแบรนด์พรรคสีฟ้าถดถอยลงอย่างมาก “หัวหน้ามาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถอยทัพลาออกหลังการเลือกตั้งปี 2562 พ่ายแพ้ให้กับ “กระแสลุงตู่”

มาในปี 2566 “พรรคสีฟ้า” ภายใต้การนำของ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่ฟื้น พ่ายเรียบในสนามกทม.

ทว่า ศึกเลือกตั้งปี 2569 กระแสของพรรคประชาธิปัตย์กลับมาฟื้นตัว ภายหลังที่ “อภิสิทธิ์” คัมแบ็กมานั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคอีกครั้ง แต่ทรัพยากรบุคคลมีปัญหา เนื่องจาก “อดีตขุนพลกทม.” พาเหรดกันออกจากพรรคไปเกือบหมด ส่งผลให้ตัวผู้สมัคร สส. เขต ค่อนข้างมีปัญหา

ทำให้ทางรอดเดียวของ “อภิสิทธิ์ - ประชาธิปัตย์” ในสนามเมืองหลวง ต้องฝากความหวังไว้ที่ “กระแสสีฟ้า” ที่จะมาจาก “แต้มอนุรักษ์” ซึ่งมีโอกาสไหลกลับมาจาก “ค่ายสีส้ม”

ทั้งหมดคือความพร้อมของ “4 พรรคหลัก” ที่มีโอกาสลุ้นเก้าอี้ “สส.เมืองหลวง” แม้ “พรรคประชาชน” จะมีแต้มต่อมากกว่าพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ แต่ “คนเมืองหลวง”เดาใจได้ยาก กระแสพลิกผันได้จนถึงวันกาบัตร