ถึงอย่างไรก็ไม่ 100% ถ้า ‘ฮุน เซน’ ยังอยู่

ถึงอย่างไรก็ไม่ 100% ถ้า ‘ฮุน เซน’ ยังอยู่

ตราบใดที่มหาอำนาจยังมองว่ากัมพูชามีความสำคัญ ซึ่งอาจจะมากกว่าไทยในสถานะปัจจุบัน ตัวชี้วัดสำคัญคือ คนอย่าง “ฮุน เซน” ยังอยู่ในอำนาจต่อไปได้

KEY

POINTS

  • ถึงนาทีนี้ ท่าทีจากทุกฝ่ายชัดเจน และสอดคล้องกันเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา กำลังเข้าสู่ “โหมดเจรจา” และ “เตรียมทำข้อตกลงหยุดยิง”
  • ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็มีสัญญาณชัดเจนจากปฏิบัติการทางทหาร และงานความมั่นคงของฝ่ายไทย เตรียมรับการเจรจา และข้อตกลงหยุดยิง
  • ตราบใดที่มหาอำนาจยังมองว่ากัมพูชามีความสำคัญ ซึ่งอาจจะมากกว่าไทยในสถานะปัจจุบัน ตัวชี้วัดสำคัญคือ คนอย่าง “ฮุน เซน” ยังอยู่ในอำนาจต่อไปได้
  • บทพิสูจน์ฝีมือจริงๆ ของไทย ว่าจะยืมมือมหาอำนาจด้วยวิธีใด เพื่อล้าง “ระบอบ ฮุน เซน” และสถาปนาสันติภาพครั้งใหม่ กับเพื่อนเก่าอย่างกัมพูชา

เข้าสู่วันที่ 15 ของการสู้รบกันระหว่างไทยกับกัมพูชา สถานการณ์โดยรวมต้องบอกว่า ฝ่ายไทยได้เปรียบ

แต่นั่นไม่ใช่ข่าวใหม่ เพราะรู้กันตั้งแต่ก่อนเสียงปืนดังแล้วว่า รบกันเมื่อไร ไทยต้องชนะ เพราะเหนือกว่าทุกด้าน

ฉะนั้นเป้าหมายจึงไม่ใช่แค่ชนะ แต่ต้องทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพการเป็นภัยคุกคามให้นานที่สุด ตามที่ผู้นำระดับต่างๆ ของกองทัพประกาศเอาไว้

ส่วนจะหวนกลับไปสถาปนาความสัมพันธ์กันใหม่อย่างไรในฐานะ “เพื่อนบ้าน” ที่ย้ายประเทศหนีกันไม่ได้ คงเป็นเรื่องที่ต้องไปขบคิดกันต่อ เพราะกองทัพ และรัฐบาลไทย รวมถึงกระแสของสังคมไทย เลือกแนวทางที่ดำเนินอยู่นี้มาแล้ว

สถานการณ์ล่าสุด สรุปได้แบบนี้

 - เผด็จศึกเนิน 350 ได้ โดยกำลังทหารฝ่ายไทยเข้าควบคุมพื้นที่

 - กู้ร่าง 2 ทหารกล้า “วีรบุรุษเนิน 350” ส่งกลับส่วนหลัง เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา

- ลุยปฏิบัติการทางทหาร เน้น BM-21 คลังกระสุน แหล่งซ่องสุมทหาร รวมถึงกาสิโน และอาคารเอกชนที่ใช้บังหน้า แต่เบื้องหลังเป็นฐานยิง ฐานกำลังพล

- โจมตีเส้นทางลำเลียงกำลังพล อาวุธ เสบียง ของกัมพูชา ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายการส่งกำลังบำรุง

- กองทัพเรือยึดคืนพื้นที่ บ้านท่าเส้น ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด และกาสิโนทมอดาที่รุกล้ำแผ่นดินไทย

- กองทัพ และรัฐบาลยังคงประสานเสียง 3 เงื่อนไขกัมพูชาต้องปฏิบัติตามก่อน จึงจะยุติปฏิบัติการทางทหาร

- ทัพภาค 2 จัดระเบียบช่องอานม้า และจุดยุทธศาสตร์อื่นๆ เพื่อสถาปนาความมั่นคงปลอดภัยแบบ 100%

- ทัพภาค 1 จับกุมแรงงานชาวกัมพูชา 66 คน เป็นชาย 16 คน หญิง 29 คน และเด็ก 21 คน โดยมีการตรวจสอบเชิงลึกก่อนผลักดันกลับ พบจำนวนหนึ่ง ประมาณ 10 คน น่าจะเป็น “จารชน” หรือ “สายลับ” แฝงตัวเข้ามา สะท้อนว่ากัมพูชายังมีความพยายาม

ถึงนาทีนี้ ท่าทีจากทุกฝ่ายชัดเจน และสอดคล้องกันเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา กำลังเข้าสู่ “โหมดเจรจา” และ “เตรียมทำข้อตกลงหยุดยิง”

ความเคลื่อนไหวจากภายนอกบ่งชี้ไปในทิศทางนั้น กล่าวคือ

 - มีการนัดประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน “สมัยพิเศษ” ที่กัวลาลัมเปอร์ ในวันนี้ (22 ธ.ค.68)

 - นายอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำมาเลเซีย ออกแรงรอบสุดท้าย ก่อนส่งมอบหน้าที่ประธานอาเซียนให้ฟิลิปปินส์ ซึ่ง นายกฯ อันวาร์ ก็หวังว่าจะจบปัญหาขัดแย้งนี้ได้ เพื่อเป็น “โทรฟี” (Trophy) ของตัวเอง นำไปอ้างว่าสร้างสันติภาพในภูมิภาคได้สำเร็จในแบบที่ตัวเองคิด ก็คือ จัดเลือกตั้งในเมียนมา และยุติการสู้รบไทย-กัมพูชา

 - สองมหาอำนาจ ทั้งจีน และสหรัฐ ขยับถี่ขึ้น โดยเฉพาะจีน ออกแรงมากอย่างเห็นได้ชัด หวังชิงการนำ

 - การเคลื่อนไหวยังลามไปสหภาพยุโรป หรือ อียู และสหประชาชาติ เนื่องจากการสู้รบไทย-กัมพูชา กลายเป็น “จุดร้อน” หรือ hot spot 1 ใน 8 จุดของโลก ณ ขณะนี้

ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็มีสัญญาณชัดเจนจากปฏิบัติการทางทหาร และงานความมั่นคงของฝ่ายไทย เตรียมรับการเจรจา และข้อตกลงหยุดยิง

1.แผนยุทธการของกองทัพไทยคือ ต้องทำลายอำนาจการรบในพื้นที่กัมพูชาให้มากที่สุด ก่อนเข้าสู่โหมดเจรจา และทำข้อตกลงหยุดยิง

คำว่า “อำนาจการรบ” ในที่นี้ ไม่ใช่แค่หน้าแนว หรือแนวชายแดน แต่ต้องเป็นระยะห่างจากเขตไทย “ในรัศมีที่กัมพูชาสามารถโจมตีไทยได้” จะต้องถูกทำลายทั้งหมด

สถานการณ์จริงที่หน้าแนวคือ เร่งยึดพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญพื้นที่สุดท้ายคือ “เนิน 350” เมื่อยึดได้แล้วก็จะเหลืออีก 1 พื้นที่ คือ “ห้วยตามาเรีย” ซึ่งเป็นพื้นที่ต่ำ กัมพูชาส่งกำลังทหารเข้ามา แต่ประเมินแล้วน่าจะอยู่ไม่ได้ตลอด เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก ก็ต้องถอนกำลังอยู่ดี

2.ตั้งแต่เริ่มมีแนวโน้มเจรจา และทำข้อตกลงหยุดยิง ฝ่ายกองทัพเร่งปฏิบัติการเต็มพิกัด โดยเฉพาะล่าสุดเมื่อช่วงวันศุกร์-เสาร์ มีรายงานว่า เป็นวันที่ฝ่ายกัมพูชาสูญเสียกำลังพลมากที่สุดวันหนึ่ง ตั้งแต่ปะทะกันมา

3.ฝ่ายไทยเริ่มเปิดหลักฐานมัดกัมพูชาว่ากระทำผิดอนุสัญญา กฎหมาย และข้อตกลงระหว่างประเทศทุกฉบับ

หลักฐานมีทั้งภาพถ่าย คลิปวิดีโอ รายงานการปฏิบัติการ ยุทโธปกรณ์ และเครื่องมือสื่อสารที่ยึดได้จากพื้นที่สู้รบ ซึ่งหลักฐานเหล่านี้จะเป็นน้ำหนักกดดันกัมพูชา ช่วงที่มีการเจรจา และทำข้อตกลงหยุดยิง เพื่อให้เงื่อนไขในข้อตกลงเป็นไปตามความต้องการของ “ฝ่ายเรา” มากที่สุด

4.ปิดจุดอ่อน หรือช่องโหว่ของการทำข้อตกลงหยุดยิง 28 ก.ค.2568 ที่ทำข้อตกลงแล้วให้การหยุดยิงมีผลปฏิบัติทันทีในเวลา 24.00 น.วันเดียวกัน ทำให้ฝ่ายปฏิบัติมีปัญหา และไม่สามารถปฏิบัติการทางทหารได้ตามแผน กลายเป็นการกล่าวหาให้ร้ายกันเองว่าใครรับงาน ใครเป็นไส้ศึก

ฉะนั้นรอบนี้มีรายงานว่าฝ่ายกองทัพขอเวลาเคลียร์พื้นที่ และแจ้งหน่วยหน้าแนว อย่างน้อยที่สุด 48 ชั่วโมง หรือ 72 ชั่วโมง เพื่อป้องกันความผิดพลาด และเก็บรายละเอียดของปฏิบัติการทั้งหมดก่อนหยุดยิงจริงๆ

แนวโน้มล่าสุด น่าจะเคาะกันแบบนี้ โดยการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน 22 ธ.ค.68 ไทยจะยังไม่ตกปากรับคำอะไร อ้างว่าไม่ใช่อำนาจ “ระดับรัฐมนตรี” ที่จะทำความตกลงได้

ขณะที่ตามแนวชายแดน ซึ่งเคยเป็นพื้นที่พิพาทแต่อยู่ในอธิปไตยไทย ยังมีทหารไทยเหยียบกับระเบิด เสียขาเป็นขาที่ 8 ทำให้ทิศทางของการทำ “ข้อตกลงหยุดยิง” ก่อนยกระดับเป็น “ข้อตกลงสันติภาพ” มีแต่ความอ่อนไหว

และอุปสรรคสำคัญที่สุดคือ “ผู้มีอำนาจกำหนดนโยบาย” นั่นก็คือ ผู้นำตัวจริงอย่าง “ฮุน เซน”

การหยุดยิงครั้งนี้จึงอาจไม่ใช่ชัยชนะของฝ่ายไทย แต่อาจเป็นการเริ่มเกมใหม่ในทางถนัดของ “ฮุน เซน” ก็เป็นได้ เพราะการสูญเสียทหารจำนวนมาก และถูกไทยโจมตีอย่างย่อยยับ ไม่ได้ทำให้ “ฮุน เซน” เสียหน้า หรือถูกด่า ถูกต่อต้านมากขึ้นในประเทศ

เพราะผลของสงครามต้องออกมาในรูปนี้อยู่แล้ว ใครๆ ก็รู้ และเขาทำ “ไอโอ” โยนบาปให้ไทยไว้ทั้งหมด

บุคคลสำคัญในแวดวงการทูตหลายคนจึงบอกว่า จุดเปลี่ยนสำคัญของสถานการณ์คือการที่ “มหาอำนาจ” ยื่นมือเข้ามาหย่าศึกอีกรอบ หากไทยพลิกเกมการทูตไม่เป็น อาจกลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ หรือ “เสียมากกว่าได้”

โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายการเมืองยังมองผลประโยชน์จากการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นเป็นสำคัญ

ที่ผ่านมาเสียงของผู้คนที่ต้องอพยพหนีตาย เสียงของผู้ค้าชายแดนที่รายได้หดหาย ไม่ต่างจากรอวันตาย และเสียงอื่นๆ อีกหลายเสียงที่กลบหายจากเสียงปืน เสียงระเบิด ท่ามกลางกระแสรักชาติ ทั้งหมดคือ ปัญหาระยะยาวที่ไทยต้องเผชิญ

ตราบใดที่มหาอำนาจยังมองว่ากัมพูชามีความสำคัญ ซึ่งอาจจะมากกว่าไทยในสถานะปัจจุบัน ตัวชี้วัดสำคัญคือ คนอย่าง “ฮุน เซน” ยังอยู่ในอำนาจต่อไปได้…

ตราบนั้นไทยจะประกาศว่าชนะ 100% หรือทำให้กัมพูชาไม่เป็นภัยคุกคาม 100% ก็คงไม่มีใครเชื่อ และตัวคนพูดเองก็น่าจะยังไม่เชื่อ ยกเว้นจะใช้เพื่อผลประโยชน์การเมืองของกลุ่มพวกตนเท่านั้น

นี่เองคือ บทพิสูจน์ฝีมือจริงๆ ของไทย ว่าจะยืมมือมหาอำนาจด้วยวิธีใด เพื่อล้าง “ระบอบ ฮุน เซน” และสถาปนาสันติภาพครั้งใหม่ กับเพื่อนเก่าอย่างกัมพูชา

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์