‘ธนาธร’ ขอโทษปม ปชน.โหวต ‘อนุทิน’ นายกฯ รับถูกแทงหลังแต่ไม่แค้น

‘ธนาธร’ เผยถ้าคาดคั้นก็ขอโทษปม ปชน.ยกมือโหวต ‘อนุทิน’ นายกฯ รับถูกแทงข้างหลัง แต่ไม่แค้น เดินหน้าต่อแบบมีความหวัง ผลักดัน Grand Compromise สร้างกติการ่วมกันให้ได้
KEY
POINTS
- ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวขอโทษต่อกรณีที่ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองมาถึงจุดที่ต้องโหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี
- เขายอมรับว่ารู้สึกผิดหวังและเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ยืนยันว่าจะไม่ทำงานการเมืองด้วยความแค้น
- ธนาธรระบุว่าแม้จะเจ็บใจ แต่การสร้างอนาคตให้ประเทศจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย และจะไม่ปฏิเสธการทำงานร่วมกัน
เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2568 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาณ์ถึงภารกิจ Grand Compromise เพื่อผลักดันสังคมไทยไปข้างหน้า ผ่านรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ดำเนินรายการโดยนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ตอนหนึ่งว่า ประเด็น Grand Compromise เชื่อเหลือเกินว่า เราจะหาทางออกจากความขัดแย้งที่กัดกินสังคมไทยมากกว่า 20 ปีได้ ถ้าพี่น้องประชาชนคิดว่า ให้แก้ปัญหาปากท้องก่อน ไม่แก้ปัญหารัฐธรรมนูญได้หรือไม่ หลายคนถามอย่างนี้ ทุกคนจะพูดอย่างนี้ มีคำถามเยอะแยะเลยทำไมยุ่งการแก้รัฐธรรมนูญ
นายธนาธร กล่าวว่า บอกอย่างนี้ วันนี้เราอยู่ในช่วงของความขัดแย้งการเมืองมาแล้ว 20 ปีจากไตรมาส 4 ปี 2548 ที่เป็นจุดเริ่มต้นถึงไตรมาส 4 ปี 2568 20 ปีพอดี มีนายกฯ 10 คน มีรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ ปี 2540 ปี 2550 ปี 2560 นายกฯ 10 คน ถ้าตัด พล.อ.ประยุทธ์ ออกไป 7-8 ปีกว่า เหลือ 9 คนต่อ 12 ปี เฉลี่ยนายกฯ 1 คน ดำรงตำแหน่งเพียงแค่ปีกว่า ถามว่านายกฯที่ดำรงตำแหน่งปีกว่า ทำอะไรให้กับประเทศได้หรือไม่ ใครบอกว่าคุณจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องอะไร ด้วยการปล่อยการเมืองให้เป็นอย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้ มันพิสูจน์มา 20 ปีแล้ว
คิดว่าการแก้ปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าการแก้ปัญหาสแกมเมอร์ การแก้ปัญหาชายแดน แก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง กับการแก้ปัญหาการเมือง ไปพร้อม ๆ กันได้ ทีนี้ประเด็นคือรอบ 20 กว่าปีมาแล้ว เกิดการชุมนุมครั้งใหญ่อย่างน้อย 4 ระลอก เริ่มที่เสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส. และการชุมนุมเยาวชนคนหนุ่มสาว โมฆะเลือกตั้ง 2 ครั้ง การเลือกตั้ง 2 ครั้งหลังสุดคือ 2557 โมฆะ เสียงประชาชนไม่มีความหมาย การเลือกตั้งปี 2562 เพราะการดำรงอยู่ของ สว.เราไม่ได้รัฐบาลจากเสียงประชาชน เลือกตั้งปี 2566 ก็เหมือนกันอีก เราปล่อยให้สังคมล้มเหลวขนาดนี้ได้อย่างไร
“ข้อเสนอของเราคือมาร่วมกันหาทางออกให้กับสังคมเถอะ ทุกพรรค ทุกฝ่าย ทั้งอำนาจจากประชาชน และอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน เชิญทุกคนมาคุยกัน ประเทศไปต่ออย่างไร มันต้องหากติกาชุดใหม่ กฏคุณค่าของสังคมชุดใหม่ ที่ทุกฝ่ายยอมรับกันได้ เพื่อให้ประเทศไทยไปต่อข้างหน้าได้ มันใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญโดยตัวมันเอง รัฐธรรมนูญหาทางออกให้กับสังคมแต่ไม่ใช่ทั้งหมด” นายธนาธร กล่าว
เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาเชื่อว่ามีฝ่ายอนุรักษนิยอยู่เบื้องหลัง นายธนาธร กล่าวว่า ใช้คำนี้ดีกว่า อำนาจจากการเลือกตั้ง และอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และความขัดแย้งที่ผ่านมาในรอบ 20 ปีมันบอกเราว่าอะไร มันบอกเราว่า เราไม่มีกฎกติกาที่ทุกฝ่ายยอมรับ เราไม่มีกฎกติกาในสังคมไทยที่เราจะทำให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกัน เคารพกฏกัน แย่งชิงอำนาจกันภายใต้กฏกติกานี้ ที่ทุกฝ่ายยอมรับกันได้ มันไม่มี มันทำให้สังคมเดินหน้าไปไม่ได้ และภายใต้สังคมไม่มีทางออก มันจึงทำให้เราล้าหลัง เศรษฐกิจเติบโตไม่เท่าทันกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือประเทศที่อยู่ระดับเดียวกัน
ปฏิเสธไม่ได้ 20 ปีที่ผ่านมา เทียบประเทศในอาเซียน ประเทศกำลังพัฒนาเหมือนกัน เราล้าหลังทุกเรื่อง ดัชนีการคอร์รัปชันเราแย่ลง ดัชนีนิติรัฐเราแย่ลง 20 ปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น มันเป็นไปได้อย่างไรที่กรมราชทัณฑ์ปล่อยให้มีการให้บริการทางเพศกับนักโทษในคุก เป็นไปอย่างไรที่ปล่อยให้มีการเรียกส่วยจากคนระดับ ผบ.ตร. ถูกชี้มูลว่ามีการเรียกรับสินบน และมีอีก 200 กว่านาย นึกออกหรือไม่ เราปล่อยให้สังคมมาถึงตรงนี้ได้อย่างไร มันหมายความว่าเราไม่ได้หาทางออกกับสังคม เพื่อเดินหน้าต่ออย่างมีพลัง
“ทั้งหมดมีผลจากการเมืองที่ล้มเหลว ที่ปล่อยให้การเมืองถึงจุดนี้ มันเป็นไปได้อย่างไร นี่คือระดับบนสุดแล้ว ไม่ใช่ผู้น้อย แล้วจะรักษาความศรัทธาประชาชนให้เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมได้อย่างไร ตั้งแต่ตำรวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์ ใครเชื่อมั่นในกระบวนการนี้อีก แน่นอนที่สุดสิ่งที่เกิดขึ้นจากความล้มเหลวของ MOA มันทำให้การเข้าหา การนำไปสู่ Grand Compromise เป็นไปได้ยากอีก” นายธนาธร กล่าว
หมายความว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นบันไดขั้นแรกของการ Grand Compromise นายธนาธร กล่าวว่า ทุกฝ่ายหาทางออกร่วมกัน แก้กติการ่วมกันก่อนว่า อำนาจมาจากไหน ใครใช้อำนาจนั้น เป็นกติกาที่ยอมรับว่าแฟร์ทุกฝ่าย เป็นจุดเริ่มต้น
ถามย้ำว่าเมื่อแก้รัฐธรรมนูญล้มไปแล้ว Grand Compromise ก็ล้มด้วยหรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ยังไม่ได้เริ่มเลยด้วยซ้ำไป อย่าเรียกว่าเผชิญหน้าอีกข้างหนึ่ง เราพยายามหาทางออก เราไม่ได้อยากสร้างกำแพง เราอยากสร้างสะพาน ที่เชื่อมระหว่างอดีตสู่ปัจจุบันสู่อนาคต สะพานที่เชื่อมระหว่างคนจากรุ่นสู่รุ่น สะพานที่มันเชื่อมระหว่างอดีตที่ล้มเหลว กับอนาคตที่สดใส อยากเป็นสะพานหาทางออกให้กับสังคม
ซักอีกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องรูปธรรม ถ้าไม่มีรัฐธรรมนูญ Grand Compromise ก็ไม่มีรูปธรรม นายธนาธร กล่าวว่า ถูกต้อง ยังไงก็ต้องมีรัฐธรรมนูญ
ส่วนจะมีความหวัง หรือพอจะมีอะไรบวกหลังจากนี้หรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า รู้ว่ายิ่งยากขึ้นแน่นอน ก้าวแรกคือคำถามที่ 1 ในประชามติ (เขาแสดงให้เห็นว่าเขาไม่) ใช่ (แล้วตอนนั้นทำไมถึงไปเชื่อเขา) ถ้าเราไม่ลอง ถ้าเราไม่เสี่ยง มันจะไม่มีความก้าวหน้าเลย ถามจริง ๆ เถอะ จะนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญได้ คิดว่าใช้วิธีอะไร การแก้มันยากมาก
“เรียนประชาชนอย่างนี้ ถ้าเราไปดูสิ่งที่ถูกเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ จะถูกแก้ไขได้ต่อเมื่อมีเสียง 1 ใน 3 ของ สว. และเขียนไว้อีกว่าการคัดสรร 200 สว. ไม่ได้มาจากประชาชนโดยตรง ดังนั้นกระบวนการนี้ ยังไงก็จะไม่มีทางได้ สว.ที่ฝักใฝ่ประชาธิปไตย และสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ มันจะวนอยู่ในอ่าง” นายธนาธร กล่าว
เมื่อถามว่า มุมน้ำเงินเขาบอกใจเขาใจเรา สว.เลือกกันมาแล้ว มีวาระอยู่ 5 ปี อย่างน้อยต้องให้มีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย นายธนาธร กล่าวว่า มีประเด็นมาก แยกเป็น 2 ประเด็น วันนั้นที่ สว.ไม่ยอม 1.ขอ 5 ปี บทเฉพาะกาลให้ สว.ชุดปัจจุบัน อยู่จนครบวาระ 5 ปีสิ่งที่พวกเขากลัวคืออะไร ถ้าร่างรัฐธรรมนูญใหม่เสร็จใน 3-4 ปี เขาต้องหมดอำนาจ ดังนั้นเขาขอว่าให้ใส่ สว.ชุดปัจจุบันไม่ว่าแก้เสร็จแล้วหรือไม่ ให้อยู่ครบวาระ 5 ปีได้หรือไม่ 2.ขออำนาจ 1 ใน 3 ให้คงไว้จนถึงการทำประชามติคำถามที่ 3 ได้หรือไม่ เขาขอ 2 ข้อ
“ข้อแรกจริง ๆ ถ้าคุยกันว่ายอมได้หรือไม่ มันอาจเป็นไปได้ เพราะถ้าไล่กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญจริง ๆ เขาอาจเหลือไม่เกิน 1 ปี อาจเป็นไปได้ แต่ในข้อ 1 ใน 3 ข้อนี้มีประเด็น ตนเชื่อว่าในพรรคเองก็มีการคุยกันเยอะ แต่ประเด็นสำคัญคือ ไปถึงวันนั้นแล้ว เราไม่มีอำนาจต่อรองเหลืออยู่แล้ว คงถกเถียงกันเยอะ แต่ด้วยสถานการณ์เฉพาะหน้าในที่ประชุมสภาฯวันนั้น ก็ออกมาเป็นแบบนี้” นายธนาธร กล่าว
เมื่อเขาแสดงท่าทีมาแล้ว จะทำอย่างไรต่อ นายธนาธร ถอนหายใจเสียงดัง ก่อนกล่าวว่า พยายามคุย มีทางเดียวพยายามพูดคุยกับทุกฝ่าย กับประชาชน กับนักธุรกิจ กับทหาร กับทุกฝ่ายในสังคม ให้เห็นถึงความสำคัญในการหาทางออกให้กับประเทศ ทำให้ทุกฝ่ายเห็นให้ได้ว่าประเทศไปต่ออย่างนี้ไม่ได้ สำหรับคดีฮั้ว สว.ตอนนี้เดินหน้าไปแล้ว มันก็ยังต้องใช้เสียง 1 ใน 3 อยู่ดี ไม่ได้แก้ปัญหา 1 ใน 3 แน่นอนเราเห็นว่าคดีฮั้ว สว. การเข้ามาของ สว.ที่จ่ายเงินอามิสสินจ้างกันเนี่ย มันไม่ชอบธรรม แต่มันไม่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่ง 1 ใน 3
เมื่อถามว่า หลังจากนี้แค้นหรือไม่ และแค้นใครมากกว่ากันระหว่าง MOA กับภูมิใจไทย หรือ MOA กับเพื่อไทย นายธนาธร กล่าวว่า ผิดหวัง เสียใจ แต่ไม่แค้น ไม่คิดว่าทำงานการเมืองด้วยความแค้น ถ้าจะประสบความสำเร็จได้ มีแต่ทุกฝ่ายกลับมาพูดกัน คุยกัน เจ็บใจเสียใจมีแน่นอน แต่แค้นไม่เผาผีกัน ปฏิเสธความร่วมมือในอนาคตทุกอย่าง ก็จะสร้างประเทศไทยที่ดีกว่านี้ไม่ได้ อย่างไรก็ต้องอาศัยความร่วมมือ อาศัยการทำงานร่วมกันในอนาคต ผลักดันให้ไทยเป็นประชาธิปไตยได้ ถ้าอาศัยความแค้นแล้วบอกว่า “มึงหักหลังกู ต่อไปกูหักหลังมึงบ้าง” แบบนี้คิดว่า ไม่ใช่วิธีที่จะหาทางออกให้ประเทศ กัดฟัน ทน ยอมรับสภาพ ขณะเดียวกันอย่างหมดวัง อย่าหยุดพยายาม
เมื่อถามถึงกระแสขณะนี้แย่ลง นายธนาธร กล่าวว่า ใช่ คิดว่าผลนิด้าโพลออกมาล่าสุด ก็ชี้ชัดประเด็นนั้นอยู่แล้ว กระแสตกมาก จะบอกว่าโง่ก็ได้ แต่ตนคิดว่า เราขอเสี่ยง ขอลอง ไม่มีคำแก้ตัว
ที่ผ่านมาได้ขอโทษเรื่อง MOA ล้มเหลวแล้ว เหลือเรื่องยกมือโหวตนายอนุทินเป็นนายกฯ จะขอโทษหรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ขอโทษที่ทำให้มาถึงจุดนี้ ถ้าต้องนับรวมไปด้วย จะคาดคั้น ขอโทษก็ได้ ไม่ได้ติดปัญหาอะไร คิดว่าแสดงความจริงใจหมด ทิศทางสังคมไทยมาถึงจุดนี้ ก็ขอโทษหมด







