‘ธนาธร’ เปรียบ ปชน.สีดาลุยไฟทำ MOA ขอโทษ ปชช.ล้มเหลว-ถูกเบี้ยว

‘ธนาธร’ เปรียบ ปชน.สีดาลุยไฟทำ MOA ขอโทษ ปชช.ล้มเหลว-ถูกเบี้ยว

‘ธนาธร’ เปิดใจถูกแทงข้างหลังปมเบี้ยว MOA เบื้องลึกเลือก ‘ภท.’ เพราะเชื่อมีกุญแจสะเดาะแก้ รธน.ได้ เปรียบ ปชน. ‘สีดาลุยไฟ’ ต้องเสี่ยง วันนี้เหลว ยอมรับ-ขอโทษประชาชน

KEY

POINTS

  • ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ขอโทษประชาชนที่ไม่สามารถผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้สำเร็จตามที่สัญญาไว้ แม้จะเสี่ยงทำข้อตกลง (MOA) กับพรรคภูมิใจไทย
  • ชี้แจงเหตุผลที่ต้องร่วมมือกับพรรคภูมิใจไทย เพราะมองว่าเป็น "ผู้ถือกุญแจ" ที่มีอิทธิพลต่อ สว. ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการปลดล็อกการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
  • กล่าวหาว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นฝ่าย "เบี้ยว" ข้อตกลง โดยโหวตสวนมติ กมธ. เสียงข้างมาก เพื่อรักษาอำนาจของ สว. ไว้ ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญล้ม

เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2568 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาณ์ถึงเหตุผลในการทำข้อตกลง MOA กับพรรคภูมิใจไทย เพื่อผลักดันรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ล้มเหลว ผ่านรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ดำเนินรายการโดยนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ตอนหนึ่งว่า เรียนพ่อแม่พี่น้องประชาชน เราเสียใจมากว่า เราไม่สามารถทำตามที่เราให้คำสัญญากับประชาชนไว้ได้

เมื่อถามถึงประเด็น Grand Compromise แกนนำ ปชน.ไปคุยกันเพื่อทำดีล MOA ตอนนั้นตัดสินใจอย่างไร นายธนาธร กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องแยกเป็น 2 ส่วน สิ่งที่ตนนำเสนอ Grand Compromise ใหญ่กว่าเรื่องรัฐธรรมนูญ เอาเรื่องรัฐธรรมนูญก่อน พอเราตั้งพรรคขึ้นมา ตั้งแต่สมัยอนาคตใหม่ มาเป็นก้าวไกล จนถึงพรรค ปชน. เราเห็นอยู่แล้วว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่เป็นประชาธิปไตย และนำมาสู่ต้นเหตุปัญหาทางการเมืองเยอะแยะเลย พูดตั้งแต่ตั้งพรรค แล้ววันนี้ก็เป็นจริง 

นายธนาธร กล่าวว่า เราก็มีการนำเสนอต่อสังคมว่า หนึ่งในวิธีให้การเมืองกลับมาเป็นปกติ ทำให้ประเทศกลับมาเป็นประชาธิปไตย ยังไงก็ต้องแก้รัฐธรรมนูญ เมื่อโอกาสมาถึงเราพยายามใช้โอกาสนั้นมาแก้รัฐธรรมนูญนี้ ก็คือการไปหาข้อตกลงกับผู้ถือกุญแจแก้ล็อคแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ก็บอกประชาชนตรง ๆ ว่า เหตุผลที่เราตัดสินใจคืออะไร แต่มันก็ล้มเหลว

หมายความว่าต้องหาผู้ถือกุญแจ ปลดล็อคการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามแคมเปญหาเสียงพรรคส้มตั้งแต่ปี 2562 และ 2566 นายธนาธร กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นหนึ่งในแคมเปญของเรา ซึ่งไม่เคยสำเร็จ ถ้าจำไม่ผิดมีการเสนอการแก้รัฐธรรมนูญเข้ารัฐสภา 11 ครั้ง ล้มเหลวทุกครั้ง ครั้งเดียวที่สำเร็จคือการเปลี่ยนกฎการเลือกตั้ง บัตรใบเดียวในการเลือกตั้งปี 2562 เป็นบัตรสองใบในการเลือกตั้งปี 2566 เหตุผลคือต้องการสกัดเรา เลยเปลี่ยนระบบการเลือกตั้งใหม่ นี่เป็นครั้งเดียวที่มีการแก้รัฐธรรมนูญ แต่อีก 10 กว่าครั้งที่เหลือ ที่มีการเสนอแก้ไขทั้งฉบับ และรายมาตรา ล้มเหลวทุกครั้ง ไม่ผ่าน สว.ซักครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกระจายอำนาจ เพิ่มอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการให้บริการพี่น้องประชาชน การเปลี่ยนที่มาองค์กรอิสระ ทั้งรายมาตรา และทั้งฉบับ 

“ทดลองมา 10 กว่าครั้งแล้ว ล้มเหลวตลอด มันเป็นไปไม่ได้ เมื่อโอกาสมาถึงเราอยากสะเดาะกลอนนี้ แต่ก็พิสูจน์แล้วว่าเราทำไม่ได้ โดยผู้ถือกุญแจคือ 1 ใน 3 สว. จำนวน 67 เสียง โดยมีพรรคการเมืองหนึ่งที่พอมีอิทธิพลกับผู้ถือกุญแจอยู่บ้าง จึงมีเหตุจำเป็นต้องเข้าไปหาพรรคนี้ เราก็รู้กันดี” นายธนาธร กล่าว

เมื่อถามว่าย้อนกลับไปช่วงดีลจัดตั้งรัฐบาล สาเหตุที่วันนั้นเลือกพรรคน้ำเงิน เพราะว่าน้ำเงินถือกุญแจปลดล็อคเรื่องนี้ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวว่า ถ้าย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เงื่อนไขที่นำมาสู่ MOA ตัวนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นวันนั้น ตั้งแต่เกิดสถานการณ์กัมพูชาเกิดขึ้น เรารู้อยู่แล้วว่า สถานการณ์ต้องกลับมาที่จุดนี้ คือในทางการเมืองความชอบธรรมเหลือน้อยมาก และมีเรื่องเวลาที่งวดเข้ามาของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นเรารู้อยู่แล้วว่า ไม่ช้าก็เร็ว นำมาสู่การเลือกนายกฯคนใหม่ในสภาฯ ก่อนนั้นถ้าจำไม่ผิด เข้าใจว่าตั้งแต่เดือน มิ.ย.-ก.ค. 2568 ที่นายณัฐพงษ์ หัวหน้าพรรค นำเสนอเงื่อนไขของการยุบสภาฯ เงื่อนไขนี้ถูกเซ็ตตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุการณ์แล้ว พอเหตุการณ์มาถึงจริง ๆ ก็ต้องบอกว่า วันนั้นพรรคภูมิใจไทย ออกมารับเงื่อนไขนี้อย่างรวดเร็วทันที 

ถามย้ำว่ามีการเซ็ตกันมาก่อนหรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า มีการพูดคุยกับทุกพรรค ไม่สามารถเปลี่ยนใจได้แล้ว คิดว่าเปลี่ยนแปลงได้ วันนั้นถ้าย้อนกลับไปดู ในพรรคมีเสียงแตกจริง ๆ แตกทั้ง 3 ทางด้วย ไม่ใช่แค่ภูมิใจไทย หรือเพื่อไทย ไม่ใช่แค่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หรือนายชัยเกษม นิติสิริ แต่ยังมีข้อเสนอจากหลายส่วนในพรรคให้อยู่เฉย ๆ ด้วย ดังนั้นมันผ่านการพูดคุย ต้องถามทางพรรคน่าจะแม่นยำกว่าตน มีการประชุม สส. 3 ครั้งอย่างน้อย มีฟังเสียงสมาชิกด้วย นำมาสู่ข้อสรุป อย่างไรก็ดีสมมติวันนั้นสมาชิกพรรคโหวตให้อยู่เฉย ๆ หรือโหวตให้เลือกนายชัยเกษม การโหวตให้นายอนุทินคงเป็นไปได้ยาก 

เมื่อถามว่าถึงจุดนั้นมีโมเดลเดียวที่ยุบสภาฯได้ แก้รัฐธรรมนูญด้วยคือ พรรคภูมิใจไทย ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวว่า ถูกต้อง เพราะอีกฟากหนึ่งเขาไม่มีกุญแจ

ส่วนตอนนั้นตั้งความหวังอย่างไร นายธนาธร กล่าวว่า ตอนนี้ก็ยังตั้งความหวังตลอดเวลา ว่าซักวันหนึ่งสร้างประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยดีกว่านี้ได้ แน่นอนที่สุดเจ็บปวด เราผิดหวัง แต่ว่าไม่หมดหวัง 

ซักอีกว่า ในช่วงเวลานั้นเชื่อได้อย่างไร นายธนาธร กล่าวว่า มันไม่มีใครเชื่อกันอย่างสนิทใจหรอก รู้ว่าต้องเสี่ยง วันนั้นทุกคนรู้ว่าต้องเสี่ยง มันเป็นการเสี่ยงเรารู้ แต่ว่าเราคิดว่าอย่างน้อยที่สุดต้องลอง ถ้าไม่ลองจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าไม่ทำจะไม่เกิดขึ้น ทำแล้วอาจสำเร็จ หรือผิดหวัง แต่อย่างน้อยลองทำดู ส่วนคำถามว่าเสี่ยงเกินไปหรือไม่นั้น เสี่ยงแน่นอน เราไม่ได้ปฏิเสธความเสี่ยง ถามว่าคุ้มหรือไม่ ถามวันนี้ก็บอกว่าไม่คุ้ม

เมื่อถามว่า ฝ่ายพรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งมองว่า การตัดสินใจของ ปชน.สนับสนุนนายอนุทิน ไม่เป็นผลดีกับฝ่ายประชาธิปไตย นายธนาธร หัวเราะ ก่อนตอบว่า เวลาพูดถึงตรงนี้ ได้ดูผลโหวตมาตรา 256/28 หรือไม่ ถ้าพรรคเพื่อไทยมาครบ กระบวนการก็ไปต่อได้ นี่คนไม่รู้ ถ้า สส.เพื่อไทยมาครบ กระบวนการจะไปต่อ

เมื่อถามถึงความเสี่ยงที่ ปชน.ยกมือให้นายอนุทิน เป็นการสถาปนาอำนาจนำฝ่ายอนุรักษนิยม นายธนาธร กล่าวว่า ต้องบอกว่า ความคิดเรื่องอนุรักษนิยมชนะเลือกตั้งหรือไม่ รอพิสูจน์ รอวัดกัน น่าจะอีกราว 50 กว่าวัน 8 ก.พ. เรื่องนี้คงไม่ต้องถกเถียงกัน

ส่วนข้อครหาเปิดช่องให้พรรคน้ำเงินโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการ และคดีฮั้ว สว. รวมถึงเขากระโดงก็เงียบลง นายธนาธร กล่าวว่า ถ้าเรื่องนี้มีอิทธิพลต่อพรรคการเมืองจริง ๆ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯมากี่ปีแล้ว 8 ปี เขาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการได้ 8 รุ่น ป่านนี้รากลงลึก เขาเป็นรัฐบาล 10 กว่าสมัยแล้วหรือไม่ คิดว่ามีผลบางส่วน แต่พิสูจน์แล้วว่าคนแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการได้ กลับมาเป็นรัฐบาลได้ ตนว่าไม่ใช่ เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าการใช้กลไกข้าราชการ ไปสนับสนุนพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง ไม่สามารถทำได้เบ็ดเสร็จขนาดนั้น ดังนั้นเรื่องนี้จะทำให้ฝ่ายอนุรักษนิยมกลับมาชนะเลือกตั้ง คิดว่าอีก 50 วันรู้กัน ตนมั่นใจ

นายธนาธร ชี้แจงถึงกรณีเคยพูดบนเวทีวิชาการที่ ม.ธรรมศาสตร์ ถึงคดีฮั้ว สว. และเขากระโดง ว่าวันนั้นเราไม่มีใครรู้หรอกว่าอนาคตจะเกิดอะไรบ้าง แต่ถ้าเราไม่กล้าตัดสินใจอะไรเลย คิดว่าสังคมจะไม่มีความก้าวหน้า เราเป็น “สีดา” เดินลุยไฟ เอาอนาคตที่เราคิดว่าพอเป็นไปได้บ้าง แลกกับการเดินลุยไฟ เพื่อเข้าใกล้ เพื่อทำให้สังคมที่เราอยากได้เกิดขึ้นบ้าง แน่นอนวันนี้พิสูจน์แล้วว่าล้มเหลว ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีข้อแก้ตัว วันนี้ยอมรับว่าผิดพลาด เราคิดว่าสัจจะมีความหมายในสังคมนี้ เราคิดว่าทุกคนจะเกรงกลัวอำนาจประชาชน ทุกคนจะเกรงใจประชาชน แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง

ซักอีกว่า เขา (พรรคภูมิใจไทย) บอกว่าไม่ได้เบี้ยว MOA นายธนาธร กล่าวว่า เชิญมาเลย ที่บอกว่าไม่เบี้ยว เชิญมานั่งคุยกับตนเลย ในพรรคภูมิใจไทย พร้อมเจอทุกคน พิสูจน์ง่าย ๆ ว่าเบี้ยวหรือไม่เบี้ยว ผ่าน กมธ.เสียงข้างมากมาแล้ว แล้วทำไมวันลงมติวาระ 2 มาตรา 256/28 ถึงเป็นอย่างนั้น มันชัดเจนในตัวมันเองอยู่แล้ว ไม่ต้องอธิบายว่าใครทำอะไร ประวัติศาสตร์เขียนไปแล้ว มีบันทึกไว้หมด ประชาชนสามารถเข้าใจเองได้ว่าเกิดอะไรขึ้น มติ กมธ.ข้างมาก บอกว่า สว.ไม่มีอำนาจ 1 ใน 3 ในการให้ความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญ แต่วันโหวตจริง พรรคภูมิใจไทยโหวตร่วมกับ สว.ที่กลับมติ กมธ.ข้างมาก ให้ สว.ยังคงอำนาจนี้อยู่ ทุกอย่างบันทึกไว้ชัดเจน ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดว่าใครเบี้ยวใคร

ถามย้ำว่า เขาบอกไม่มีอำนาจโน้มน้าว สว.ได้ นายธนาธร กล่วว่า แล้วแต่คุณจะเชื่อใคร ข้อเท็จจริงปรากฏอย่างนี้ ถ้าเขาไม่โน้มน้าวให้เชื่อได้ ทำไมให้กระบวนการมันเดินมาถึงตรงนี้ มาถึงตรงนี้ได้อย่างไร อย่างที่บอกการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 10 กว่าครั้งที่ผ่านมา ไม่เคยเดินมาถึงจุดนี้เลย ถ้าโน้มน้าวไม่ได้ ผ่านวาระ 1 มาได้อย่างไร ถ้าภูมิใจไทยโหวตตาม กมธ.ข้างมาก หรือถ้าเพื่อไทยมาครบโหวตตาม กมธ.ข้างมาก ก็ผ่านไปสู้วาระ 3 แพ้กันไปราว 20 คะแนน ถ้าเพื่อไทยมาครบก็ชนะ อย่าเชื่อตนไปเช็คกันเอง 

หมายความว่าถูกแทงข้างหลังหรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า เจ็บปวด เรียนอย่างนี้ว่า เชื่อว่าพรรค ปชน. และเพื่อนตน รวมถึงตนตั้งใจทำเต็มที่ ไม่เคยคิดถึงประโยชน์ตัวเอง พวกเราเจ็บปวดกันจริง ๆ ไม่ต้องมาพูดออกสื่อ อยู่กันข้างในพวกเราก็ผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้น คิดว่าสิ่งสำคัญคือ เราคิดว่าทุกคนจะเกรงกลัวประชาชนมากกว่านี้ เกรงใจประชาชนมากกว่านี้ คิดว่าสัจจะมีความหมายในประเทศนี้อยู่บ้าง สัจจะมีความหมายต่อประชาชนอยู่บ้าง สุดท้ายพิสูจน์ว่ามันไม่จริง ก็ไม่มีคำแก้ตัวใด ๆ บอกได้อย่างเดียวว่า ผิดหวัง บอกได้อย่างเดียวว่า ขอโทษประชาชนทุกคน

วันก่อนที่นายอนุทินมา เขาเรียก ปชน.เป็นฝ่ายค้ำตลอดเลย นายธนาธร กล่าวว่า แน่นอนที่สุด เขาต้องการสร้างภาพให้พวกเราเสียหาย อยากเชิญมาออกรายการด้วยกันดีกว่า 

ซักอีกว่า เคยคุยกับนายเนวินหรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า แน่นอนที่สุดในแวดวงการเมือง ก็คุยกับทุกพรรค ส่วนกรณีนายเนวินคือผู้นำจิตวิญญาณน้ำเงิน คุณคือผู้นำจิตวิญญาณพรรคส้มนั้น อย่าเรียกอย่างนั้นเลย ความสัมพันธ์ในพรรคเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เรียกว่าเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์กันมากกว่า ไม่มีลักษณะเป็นเจ้านายลูกน้อง ไม่มีลักษณะที่ใครเป็นผู้นำเดี่ยว ไม่คิดว่าการมีผู้นำเดี่ยว ใช้อธิบายการทำงานของพวกเราได้ การทำงานของพวกเราเป็นแบบปรึกษาหารือ เกื้อกูลซึ่งกันและกัน

ถามย้ำว่า เคยคุยกับนายเนวินเรื่องนี้หรือไม่ นายธนาธร กล่าวยอมรับว่า “ใช่ครับ” ก่อนกล่าวถึงกรณีการดีเบตอีกครั้งว่า อย่างนี้ดีกว่าได้ทั้งหมด ทั้งนายอนุทิน ทั้งนายเนวิน ทุกรายการด้วย ถ้ารายการไหนพามาออกได้ ตนพร้อม ไม่ว่ากับเพื่อไทย หรือภูมิใจไทย ตนกล้าเจอทุกพรรค เพราะไม่มีอะไรปิดบัง

ถามย้ำว่า แสดงว่าแบบนี้จะไม่มีมิตรแล้วหรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ก็ต้องดูกันหลังเลือกตั้ง