กกต.เตือนพรรคหาเสียงห้ามชี้นำโหวตประชามติ โยน ครม.เคาะวัน

เลขา กกต.ชี้อำนาจ ครม.เคาะวันทำประชามติ เผยทำพร้อมวันเลือกตั้ง สส.ประหยัดงบหลายพันล้านบาท เตือนพรรคการเมือง หาเสียงแก้ รธน.ได้ แต่ห้ามชี้นำโหวตเห็นชอบ-ไม่เห็นชอบ
KEY
POINTS
- กกต. ย้ำว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้มีอำนาจในการกำหนดวันลงประชามติ ไม่ใช่ กกต.
- พรรคการเมืองสามารถหาเสียงโดยเสนอนโยบาย เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้ แต่ห้ามชี้นำประชาชนโดยตรงให้ลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในประเด็นประชามติ
- การรณรงค์เพื่อให้คนเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในประเด็นประชามติ ต้องดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายประชามติ ซึ่งแยกออกจากเวทีหาเสียงเลือกตั้ง
- การแสดงความคิดเห็นในเวทีประชามติจะเปิดให้ทุกฝ่ายทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเข้าร่วมอย่างเท่าเทียมกัน โดยต้องมีการลงทะเบียนล่วงหน้า
เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ที่โรงแรมมิราเคิล นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดการเลือกตั้งทั่วไป 8 ก.พ. 2569 และการจัดทำประชามติจะตรงกันหรือไม่ ว่า ยังไม่ได้ตกลงอะไร เมื่อวาน ครม.มีหนังสือแจ้งมติ ครม.มาแล้ว เป็นหนังสือที่แจ้งตามมาตรา 15 คือมติที่บอกว่า ถ้าจะมีการประชามติ ครม.ต้องแจ้ง 5 เรื่องให้เราก่อน เพื่อให้เราเตรียมเอกสารส่งให้ประชาชน ใน 5 เรื่องมีชื่อเรื่องประชามติ เหตุผลความจำเป็น สาระสำคัญ ขั้นตอนในการออกเสียงประชามติ งบประมาณ ประโยชน์ และข้อดีข้อเสีย ส่งมาแล้ว แต่ว่ายังไม่ได้เริ่มประชามติแบบ 100% ต้องรออีก 15 วันตามกฎหมาย นายกฯจะประกาศวันออกเสียงประชามติ จะตรงกับวันเลือกตั้งหรือไม่ตรง อยู่ที่ ครม. ไม่ใช่ กกต.
ส่วนเรื่องเงื่อนไขเวลา ทำได้พร้อมวันเลือกตั้งหรือไม่นั้น เลขาธิการ กกต.กล่าวว่า ทำได้ ถ้าดูตามกฎหมาย คือเวลาประชามติมีอยู่ 2 เวลา ถ้าทำประชามติเดี่ยว ๆ เลย ไม่คำนึงถึงวันเลือกตั้ง เวลาก็จะเป็น 90-120 วัน แต่ถ้าจะทำพร้อมกับวันเลือกตั้ง หลักบอกว่าไม่น้อยกว่า 60 วัน ไม่เกิน 150 วัน ถ้าดูเวลาแบบนี้ ยังไงก็ไม่พบกัน แต่มีข้อยกเว้นในมาตรา 11 วรรคสาม บอกว่า เว้นแต่ ครม.เห็นต่างจากเวลาที่กำหนดไว้ นั่นคือเห็นต่างจาก 60 หรือ 150 วัน เพื่อประหยัดงบประมาณ หรือมีเหตุจำเป็น อยู่ที่ ครม.กำหนดวันไหน ส่วนที่กฎหมายกำหนดต้องหารือ กกต. เขาก็มาหารือว่า กกต.ทำงานทันหรือไม่ มีเวลาตามกฎหมายหรือไม่ ในการเผยแพร่เอกสารแสดงความคิดเห็น เราก็ได้ให้ข้อมูลในวันที่มีการปรึกษาหารือกันไปแล้ว เราพร้อมของเรา ส่วนรัฐบาลคิดอย่างไรตอบแทนไม่ได้
นายแสวง อธิบายเรื่องการหาเสียงของพรรคการเมือง หรือผู้สมัคร สส.กับการรณรงค์ประชามติว่า เรื่องการหาเสียง หาคะแนนนิยม หาคะแนนให้ว่าประชาชนให้เลือกพรรคตัวเอง หรือผู้สมัครในเขต นี่คือการหาเสียง ส่วนการทำประชามติคือการให้สาระสำคัญ ประเด็นประชามติว่าจะเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบประเด็นที่ให้มีการออกเสียงประชามติ เป็นสาระสำคัญของเรื่องประชามติ ไม่ใช่การหาเสียง ส่วนแรกคือข้อมูลและความรู้ ในมาตรา 15 คนที่จะขอให้จัดทำประชามติ ต้องทำข้อมูลมาให้เรา ซึ่งส่งมาแล้ว เราจะพิมพ์เผยแพร่ให้ทุกครัวเรือน 19 ล้านครัวเรือนจะส่งให้ ส่วนการแสดงความคิดเห็น ให้เห็นชอบหรือไม่ เป็นกลางทั้ง 2 ฝั่ง เป็นการแสดงความเห็น ต้องใช้เวลาอีกช่วงหนึ่ง และไปออกเสียงประชามติ นี่คือความต่างของประชามติกับการเลือกตั้ง
เมื่อถามว่า พรรคการเมืองสามารถเสนอว่าให้เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับการทำประชามติ ทำได้หรือไม่ เลขาธิการ กกต.กล่าวว่า ทำได้ ประเด็นหาเสียงเหมือนการเสนอแนวทางหรือนโยบาย พรรคเสนอได้ทั้งนั้น แต่เวลาขึ้นเวทีประชามติ เหมือนเรื่องการแสดงความคิดเห็นว่าเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย ต้องพูดเฉพาะเนื้อหา ไม่ใช่การหาเสียง มันแยกกันชัด และในข้อมูลที่เขาส่งให้ตามมาตรา 15 ต้องไม่เป็นการชี้นำ ต้องเป็นกลาง แต่การแสดงความคิดเห็นมันแล้วแต่ฝ่าย เราต้องจัดให้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างทัดเทียมกัน
นายแสวง กล่าวอีกว่า การแสดงความเห็นไม่ชี้นำอยู่แล้ว แต่ข้อมูลที่รัฐบาล หรือสภาฯทำมาให้ ถ้าการประชามติเกิดจากรัฐสภา จะเป็นคนทำเอกสารตามมาตรา 15 มาให้เรา ข้อมูลนี้จะชี้นำไม่ได้ เพียงแต่ให้ข้อมูลกับประชาชนว่า มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร ตามมาตรา 15 แต่เวลาแสดงความคิดเห็นมันชี้นำอยู่แล้ว เป็นเรื่องของประชาชนแต่ละฝ่าย พวกเห็นชอบคงให้ชี้นำไปว่า โน้มน้าวให้คนอื่นเห็นตามเขาด้วย พวกไม่เห็นชอบจะชี้นำอีกแบบหนึ่ง มี 2 ส่วน ส่วนแรกคือส่วนข้อมูล ส่วนที่สองคือความเห็น เป็นแบบนี้ทั่วโลก ทั้งโลกกระบวนการเป็นแบบนี้
“เอาประชามติไปหาเสียงได้ ไม่ผิดอะไร แต่ถ้าเป็นเวทีการแสดงความคิดเห็น ในหนังสือที่ ครม.ส่งมาให้เรา จะบอกว่าให้ กสทช.ดูแลให้ทั้งสื่อของรัฐ สื่อเอกชน จัดให้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียมกัน นี่คือส่วนแสดงความคิดเห็น อาจสับสน มี 2 เรื่องบังคับใช้ไปพร้อมกัน ซึ่งสำนักงาน กกต.ต้องทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้ รวมกับสื่อ และประชาชนด้วย” นายแสวง กล่าว
เมื่อถามย้ำว่า สามารถหาเสียงในประเด็นเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับการทำประชามติ ทำได้หรือไม่ นายแสวง กล่าวว่า เขาไม่ได้บอกประชาชน เขาต้องบอกนโยบายพรรคเขา เช่น อยากแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ เขาพูดได้ เป็นการหาเสียง แต่เวทีประชามติ คนที่ขึ้นพูดไม่ใช่พรรค เป็นเวทีฝ่ายแสดงความคิดเห็น เห็นชอบ กับไม่เห็นชอบ โดยมีการลงทะเบียน พรรคอยากพูดต้องลงทะเบียน คนละกระบวนการ แต่อาจเป็นคนกลุ่มเดียวกันก็ได้ แต่ใช้กฎหมายคนละฉบับ ทั้งนี้เขาอาจเสนอเป็นนโยบาย เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร ไม่ใช่เสนอว่าเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบ จะกลายเป็นประเด็นประชามติไปแล้ว
เมื่อถามว่า หากมีพรรคการเมืองหนึ่งบอกว่า เลือกพรรคนี้ เบอร์นี้ เพื่อโหวตร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ทำได้หรือไม่ เลขาธิการ กกต.กล่าวว่า เราย้อนไปที่การเลือกตั้งครั้งก่อน มีการใช้รัฐธรรมนูญในการหาเสียง แก้หรือไม่แก้ ไม่ผิดกฎหมาย ประชาชนอยากให้แก้หรือไม่ พรรคเสนอ ประชาชนจะเลือกไม่เลือก แต่ไปรณรงค์ว่าเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย เป็นการข้ามไปกฎหมายประชามติแล้ว ครั้งที่แล้วมีบางพรรคเสนอแก้รัฐธรรมนูญด้วย ไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่ถ้ารณรงค์เพื่อให้มีการให้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เป็นกฎหมายประชามติ ต้องอยู่ในกรอบกฎหมายประชามติ ต้องระมัดระวัง
ถามย้ำว่า ในการปราศรัยหาเสียง สามารถเสนอนโยบายได้หรือไม่ว่า เห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบกับการทำประชามติ แต่ไม่สามารถชี้นำประชาชนว่าจะออกเสียงอย่างไร นายแสวง กล่าวว่า พรรคต้องคำนึงถึงกรอบการเลือกตั้งก่อน อาจทำช่องทางสื่อสารหาเสียง เสนอให้แก้รัฐธรรมนูญได้ แต่ไปรณรงค์ว่าเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบ ไปรณรงค์ว่ามันดีอย่างนู้น อย่างนี้ไม่ได้
เลขาธิการ กกต.กล่าวอีกว่า บ่ายวันนี้ (17 ธ.ค.) จะมีการชี้แจง กฎหมายประชามติไม่เหมือนกฎหมายเลือกตั้ง กฎหมายประชามติบอกว่า ให้จัดเวทีแสดงความคิดเห็นโดยเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะฝ่ายเห็นชอบหรือไม่ คนพูดได้ต้องลงทะเบียนว่าเป็นฝ่ายเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบ ถึงบอกว่าพรรคต้องระวัง ผู้สมัครต้องดูว่าพูดในเวทีกรอบกฎหมายเลือกตั้ง หรือกรอบกฎหมายประชามติ ทุกคนมีสิทธิขึ้นเวทีประชามติ ทุกคนเป็นประชาชน
ซักอีกว่า พรรคการเมือง นักการเมือง รณรงค์ได้หรือไม่ว่า เลือกพรรคนี้ โปรดไปเห็นชอบประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้หรือไม่ นายแสวง กล่าวว่า สมมติไม่ได้ แต่อย่าไปบอกว่ารณรงค์ให้คนเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบ เราอยากบอกว่าอยากจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ อาจใช้ถ้อยคำเหมือนใกล้เคียงกัน ถ้าบอกว่ามีนโยบายแก้รัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้รณรงค์ไม่เห็นชอบ ความหมายก็สื่อไปแบบนั้นอยู่แล้ว เขาก็พูดได้อย่างนี้ แต่ไม่ได้บอกว่าเห็นชอบ ไม่เห็นชอบ จะกลายเป็นการรณรงค์ไปแล้วตอนนั้น
ส่วนกรณีที่สภาฯส่งคำถามประชามติให้ ครม. และ ครม.ส่งมาให้ กกต.แล้วมีรายละเอียดอย่างไร นายแสวง กล่าวว่า ครม.ส่งมาแล้ว เรากำลังอยู่ระหว่างเพิ่งได้รับ ต้องดูก่อนว่าคำถามเป็นอย่างไร โดยหน่วยงานที่จะทำประชามติ ไม่ใช่ กกต. เรียกว่าเหตุแล้วกัน คนที่จะทำประชามติคือหน่วยงาน เช่น สภาฯ หรือ ครม.จะกำหนดชัด ให้หน่วยงานนั้นทำตามมาตรา 15 คือ มีชื่อเรื่อง เหตุผลความจำเป็น สาระสำคัญ ขั้นตอน งบประมาณ และประโยชน์ ข้อดีข้อเสีย ต้องทำมาให้เราให้หมด เรามีหน้าที่รับอย่างเดียว คุณมีมติแล้วส่งคำถามมา ตอนนี้ยังไม่ได้ดูว่า ครม.ส่งมาแบบไหน ยังไม่ตอบ ขอดูหนังสือก่อนเพิ่งได้รับ เจ้าหน้าที่เขารับแล้ว
เมื่อถามถึงงบประมาณในการจัดทำประชามติ นายแสวง กล่าวว่า งบประมาณพอเป็นเรื่องประชามติ รวมกับ สส.จะลดลงอยู่หลายพันล้านบาทเหมือนกัน รายละเอียดต้องคุยกับทาง ครม. กฎหมายให้คุยกับ ครม. เห็นหรือไม่ว่าประชามติไม่ได้เกิดจากเรา เกิดจากหน่วยงานที่ไม่ใช่ กกต. เขาให้คุยกัน 2 เรื่องคือ เวลาทำทันหรือไม่ และงบประมาณใช้เท่าไหร่ มันอยู่ในกฎหมายเลย เวลาดูกฎหมายต้องดูทั้งหมด ทำไมต้องให้ปรึกษา กกต.เพราะเวลาสั้น ๆ เราทำทันหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ 60 วัน งบประมาณใช้เท่าไหร่ ประหยัดจริงหรือไม่ ครม.อาจตัดสินใจเป็นวันเดียวกัน เพราะประหยัด กฎหมายเขียนไว้อย่างนี้
เมื่อถามว่าพอบอกตัวเลขงบประมาณคร่าว ๆ ได้หรือไม่ เลขาธิการ กกต.กล่าวว่า ถ้าแยกกัน เหมือนคูณ 2 เลย เพราะผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 53 ล้านคน ตกราวหมื่นกว่าล้านบาท แต่ถ้ารวมกันเหลือประมาณ 8 พันกว่าล้านบาท
เมื่อถามถึงการขอจัดสรรงบประมาณของรัฐบาล นายแสวง กล่าวว่า อธิบายกฎหมาย มีรัฐบาลที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 100 ภายใต้รัฐธรรมนูญ 1.เรื่องงานกับโครงการ 2.คนกับการแต่งตั้งโยกย้าย 3.การใช้ทรัพยากร ใช้งบกลาง จะได้หรือไม่ได้ ไม่ได้บอกว่าเขาทำถูกแล้วจะได้ เราดูการแข่งขันเป็นธรรมด้วย บางทีเข้าเงื่อนไขมาขอเรา แต่ กกต.ต้องพิจารณาตามสิ่งที่คนกำลังแข่งขันกัน เราพิจารณาแนวนี้มาตลอด ตอบว่าได้หรือไม่ ตอนนี้เขายังไม่ได้เสนอมา
ถามย้ำถึงการพิจารณาการแข่งขัน นายแสวง กล่าวว่า มีการประกาศราชกิจจานุเบกษา เราทำเกินกฎหมาย แต่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ คือกฎหมายอย่างที่บอก เลือกตั้งครั้งที่แล้ว มาตรา 57 ให้พรรคทำมาเฉพาะ 4 เงื่อนไข แต่พอมาเป็นครั้งนี้ เมื่อสังคมอยากให้เราดูมากขึ้น ช่วยตรวจสอบมากขึ้น เราก็เชิญหน่วยงานที่เขามีความเชี่ยวชาญ เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องอะไรที่เราไม่ชำนาญ มาช่วยเราดูด้วย ประมาณนี้
เมื่อถามถึงการทำประชามติ ถ้าหากไม่ใช่วันเดียวกันกับวันเลือกตั้ง นายแสวง กล่าวว่า ต้องถาม ครม. เรานับจากวันที่ 31 ธ.ค. ที่ยังไม่ถึง นับจากมาตรา 15 ท่านส่งมาตรา 15 มาแล้ว เว้นไป 15 วัน นั่นคือนับจากวันที่มีการประกาศ เฉพาะเลือกตั้งคือวันที่ 8 ก.พ. ยังไม่พูดเรื่องสมมติว่าตรงหรือไม่ตรง หรือเลื่อน หรือผูกประชามติกับเลือกตั้งยังไม่พูด เพราะตอนนี้ยังไม่เกิด







