ยกเลิก MOU 43-44 ล่ม เหตุผูกพัน รัฐบาลใหม่ ส่วน ประชามติ แก้ รธน. รอ กกต.เคาะแนวทาง

ยกเลิก MOU 43-44 ล่ม เหตุผูกพัน รัฐบาลใหม่ ส่วน ประชามติ แก้ รธน. รอ กกต.เคาะแนวทาง

“กฤษฎีกา” ดับฝัน ค้าน ครม. ยกเลิก MOU 2543-2544 เหตุมีผลผูกพัน รัฐบาลหน้า-ยังไม่มีคำยืนยันจากรัฐสภา ส่วน ประชามติแก้ รธน. รอ กกต.เคาะใช้แนวทางไหน

16 ธ.ค. 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า รัฐบาลได้เห็นชอบกับการยื่นคำถามประชามติ เมื่อรัฐสภามีความเห็นถึงรัฐบาล ให้รัฐบาลตั้งคำถามประชามติตอบประชาชนว่ามีความต้องการให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ ซึ่งคำพูดนี้เป็นไปตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยออกมา เพื่อป้องกันความผิดพลาด ซึ่งรัฐบาลได้พิจารณาออกมาเป็น 2 แนวทาง แนวทางแรก เสนอโดยความเห็นของ ครม. ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้มีการแถลงนโยบายเอาไว้ มีเจตนารมณ์ชัดเจนของสภาผู้แทนราษฎร รัฐสภา และจะมีประเด็นที่เป็นข้อกฎหมายตามมาคือกำหนดระยะเวลารัฐบาลจึงเห็นว่าช่องทางที่รัฐบาลเสนอจะเป็น 1 ช่องทางที่จะสามารถปลดล็อคเรื่องระยะเวลาได้

อีกหนึ่งช่องทางคือเสนอโดยใช้ตามมาตรา 9(4) รัฐบาลเสนอด้วยความเห็นชอบของรัฐสภา ที่นำเสนอต่อกกต. ซึ่งทั้ง 2 แนวทาง นี้สุดท้าย กกต. จะเป็นผู้พิจารณา โดยที่มีความเห็นไปจากรัฐบาลว่าอยากให้การลงผลประชามติเป็นในวันเดียวกันกับวันเลือกตั้งทั่วไป เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณ ทั้งนี้ ต้องรอความเห็นของ กกต.อีกครั้งหนึ่ง คาดว่าถ้ากกต.ไม่ขัดข้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม น่าจะมีไทม์ไลน์ที่ประกาศเป็นราชกิจจานุเบกษาได้ภายในสิ้นปีนี้

ขณะเดียวกัน นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ได้นำเสนอแนวทางในการยกเลิก MOU 2543-2544 ในการทำประชามติ ซึ่งการศึกษาของคณะทำงานและคณะกรรมธิการเห็นว่า MOU 2543 ยังคงมีผลในการบังคับใช้อยู่ อาจจะใช้เป็นวิธีการปรับปรุง แต่ MOU 2544 ในทางปฏิบัติไม่มีผลบังคับใช้ จึงขอทำประชามติยกเลิก MOU 2544 แต่เนื่องจากกฤษฎีกามีความเห็นว่ามีผลผูกพันไปจนถึงรัฐบาลหน้า และไม่ได้มีประเด็นที่มีเจตจำนงหรือมีคำยืนยันจากรัฐสภา การทำประชามติยกเลิก MOU 2543-2544 นี้จึงไม่ไม่สามารถดำเนินการได้

ด้าน นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวถึง กรณีเสียงท้วงติง การทำประชามติพร้อมวันเลือกตั้งไม่สามารถทำได้เพราะระยะเวลาไม่ถึง 60 วัน ว่าตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติมาตรา 11 วรรค 3 ที่ระบุว่า ให้นำมาตรา 9 (2) (3) (4) และ (5) ส่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ทำประชามติได้ โดยสามารถร่นระยะเวลาเป็นอย่างอื่นได้ ซึ่งคณะรัฐมนตรีก็อาจจะดำเนินการตามนี้ โดยเฉพาะมาตรา 9 (2) ที่ระบุว่าการออกเสียงประชามติ กรณีเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่ามีเหตุอันสมควร ซึ่งเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีโดยแท้ และ (4) ที่ระบุว่าการออกเสียงประชามติในกรณีที่รัฐสภาได้พิจารณา และมีมติเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีเหตุสมควรออกเสียง และได้แจ้งเรื่องให้คณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะ (4) รัฐสภาก็ได้ส่งเรื่องมายังคณะรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งเข้าข้อยกเว้นของมาตรา 11 เพราะเห็นว่าหากทำพร้อมวันเลือกตั้งจะเป็นการประหยัดงบประมาณ 3,000 ล้านบาท ทำให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ส่งความเห็นตามข้อกฎหมายไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ มาตรา 11 ประกอบมาตรา 9 (2) และ (4) ซึ่งกฤษฎีกาก็ไม่ได้ทักท้วง
     

นายภราดร กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องการยกเลิก MOU 43-44 ที่ไม่สามารถทำประชามติได้นั้น เนื่องจากเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ทักท้วง เพราะมองว่าจะทำให้มีผลผูกพันกับรัฐบาลหน้า ซึ่งขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 169 เกี่ยวกับข้อห้ามของรัฐบาลรักษาการ
     

เมื่อถามว่า เรื่อง MOU จะอธิบายสังคมอย่างไร เนื่องจากถูกบรรจุอยู่ในนโยบายรัฐบาลที่เคยแถลงต่อรัฐสภา แต่สุดท้ายไม่สามารถทำได้ นายภราดร กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เรามีความจริงใจและแสดงให้เห็นมาตลอด ว่าจะทำคำถามประชามติเรื่องดังกล่าว แต่เนื่องจากอุบัติเหตุ เราจึงถามไปที่กฤษฎีกาว่าทำได้หรือไม่ ซึ่งกฤษฎีกาบอกว่าทำไม่ได้เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญ ดังนั้น จึงไม่สามารถทำการใดที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญได้