ศึก‘กัมพูชา’ยืดเยื้อ รุกรบจบไง ขวาเรตติ้งตก กระแสขัดลำกล้อง!

สิ่งที่เกินความคาดหมายหรือไม่ และยังไม่เห็นท่าทีกัมพูชาจะอ่อนกำลัง หรือลดความเป็นปฏิปักษ์หรือภัยคุกคามต่อไทย ทั้งที่โดนไปถล่มไปชุดใหญ่
KEY
POINTS
- นิด้าโพลชี้ว่าคะแนนนิยมของนายกฯ อนุทิน รายไตรมาส ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่เกิดความขัดแย้งชายแดนกัมพูชา
- กระแสชาตินิยมจากการทำสงครามเพื่อสร้างคะแนนนิยมทางการเมือง อาจไม่ได้ผล เนื่องจากหลายปัจจัย
- สถานการณ์การสู้รบมีแนวโน้มยืดเยื้อและรุนแรงขึ้น อาจส่งผลให้กระแสชาตินิยมตีกลับและกระทบต่อรัฐบาลในที่สุด
ส่องความนิยมทางการเมือง ไตรมาส 4 ปี 68 โดยนิด้าโพล น่าจะเป็นตัวบ่งชี้ได้ชัดเจนว่า กระแสชาตินิยมจากศึกชายแดนไทย-กัมพูชา ทำท่าจะไม่ค่อยเป็นบวกกับอนุทิน ชาญวีรกูล เหมือนที่คิด
การสำรวจล่าสุดระหว่าง 4-12 ธ.ค.2568 ซึ่งครอบคลุมช่วงเวลาที่เสียงปืนและเสียงระเบิดดังสนั่น จากการปะทะรอบ 2 ในศึกชายแดนกัมพูชา เรตติ้งอนุทินล่าสุด อยู่ที่ 12.32% ลดลงจากไตรมาส 3 หลังรับตำแหน่งนายกฯ ที่ขึ้นสูงถึง 20.44% เท่ากับว่าตัวเลขหายไปถึง 8.12%
นั่นแปลว่าสถานการณ์ชายแดนอาจไม่เอื้อต่อกระแสการเมืองอย่างไรอย่างนั้น เพราะถ้าได้ผลจริงตัวเลขน่าจะสูงกว่านี้แบบผิดหูผิดตาหรือไม่
เหตุผลสำคัญที่น่าจะมีส่วนฉุดความนิยมของอนุทิน หลังเป็นนายกฯ หนีไม่พ้นความล้มเหลวจากการบริหารจัดการน้ำท่วมหาดใหญ่ จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 140 ราย และตัวเลขอย่างเป็นทางการยังไม่ชัดเจนว่ามีเพิ่มอีกเท่าไหร่
จังหวะที่น้ำท่วมหาดใหญ่ยังแก้ไม่ตก กลายเป็นแผลสดของรัฐบาล ปัญหาชายแดนกัมพูชาก็ปะทุ จนกลบข่าวความล้มเหลวทั้งปวงของรัฐบาลจนหมดสิ้น
จนถูกตั้งข้อสังเกตว่า เข้าทางกลยุทธ์ทางการเมืองของนายกฯ อนุทิน หรือไม่ ในการพลิกวิกฤติเป็นโอกาส แต่ผลลัพธ์วันนี้พอจะเห็นโพลไปแล้วว่าลดลง
กระแสชาตินิยม ผ่านการทำสงคราม เพื่อสร้างความนิยมทางการเมือง อาจจะได้ผลในยุคสมัยหนึ่ง แต่พ.ศ.นี้ ชั่วโมงนี้คนเผชิญปัญหาปากท้องและสภาพคล่อง เอี่ยนกับสงคราม แต่ก็มองกัมพูชาเป็นภัย ก็มีไม่น้อยแต่พูดอะไรไม่ได้ อึดอัดน้ำท่วมปาก กลัวทัวร์ลง
คนจำนวนไม่น้อยอยากเห็นฉากทัศน์การพัฒนาประเทศ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ใช่ติดหล่มสงคราม อยู่ในเกมของนักการเมือง ที่ช่วงชิงประโยชน์จากภาวะที่บ้านเมืองไม่ปกติสุข จนปัญหาอื่นๆ ได้รับความสนใจน้อยลง
ศึกสู้รบผ่านไป 1 สัปดาห์ เป้าหมายฝ่ายไทย คือทำลายขีดความสามารถทางทหารกัมพูชา จัดการภัยคุกคามที่มีต่อไทยให้สิ้นซาก
การตีเช็กเปล่าของอนุทิน ให้กองทัพลุยเต็มที่ มุมหนึ่งมองได้ว่าเพื่อเน้นย้ำว่าเป็นหัวหอกฝ่ายขวาสุดขั้วคนใหม่เต็มตัว แต่เกมรุกรบจบไวยังไม่เห็นวี่แวว มีแต่จะยิ่งนาน และยืดเยื้อ หนักหน่วงสูญเสียมากขึ้นเรื่อยๆ
กฎอัยการศึก ที่ประกาศเคอร์ฟิว 4อำเภอใน จ.สระแก้ว ตามมาด้วยอีก5อำเภอ ของ จ.ตราด การปิดอ่าวไทย สกัดการขนส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา มาตรการคุมเข้มทหารรับจ้าง และการรับมือขีดความสามารถทางอาวุธของกัมพูชา รวมถึงการอพยพประชาชนหลายแสนคน
ปรากฎการณ์เหล่านี้ สะท้อนสิ่งที่เกินความคาดหมายหรือไม่ และยังไม่เห็นท่าทีกัมพูชาจะอ่อนกำลัง หรือลดความเป็นปฏิปักษ์หรือภัยคุกคามต่อไทย ทั้งที่โดนไปถล่มไปชุดใหญ่ ท่ามกลางภาวะที่ผู้นำไทยแหยงกับคำว่าหยุดยิง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ลดเงื่อนไข ก็ต้องรบต่อจนกว่าฝ่ายหนึ่งยอมแพ้
กระแสที่กระทบฝ่ายการเมือง มีไม่มากก็น้อย ส่วนกองทัพหากปล่อยให้สถานการณ์เรื้อรังไม่รู้ไปจบตรงไหน หรือปฏิบัติการทางทหารสยบกัมพูชาไม่ได้จริง หรือแค่ครึ่งๆ กลางๆ กระแสชาตินิยมอาจขัดลำกล้องตีกลับทุกมิติก็ได้
เดิมพันครั้งสำคัญของภูมิใจไทย ครูใหญ่ และอนุทิน ในการเลือกตั้ง ปี69 จึงสูงลิบ ท่ามกลางความไม่มั่นใจของพรรคร่วม ว่าพิธีกรรมหย่อนบัตรจะเกิดขึ้นหรือไม่
ทางเลือกเดียวของสีน้ำเงิน ที่ยึดกุมกลไกอำนาจทั้งในระบบ แถมมีอำนาจเหนือระบบ ครอบอีกชั้น เป็นแรงหนุนสำคัญให้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง
เกมหักสีส้มคว่ำแก้รัฐธรรมนูญ อิทธิพลเบื้องหลังสภาสูง-สภาล่าง ที่กำหนดยุทธศาสตร์ทั้งกระดาน รวมถึงกลไกองค์กรอิสระ แทบไม่ต่างจากยุคทักษิณ ชินวัตร บนจุดพีค ที่ถูกขนานนามเป็นยุคเผด็จการรัฐสภา คุมทุกอย่างเบ็ดเสร็จ จะต่างก็แค่รายละเอียด
สีน้ำเงินมีต้นทุนทางการเมืองสูงลิบ กับจุดเปลี่ยนสำคัญหลังมี สว.ใจตรงกัน ช่วยสร้างพาวเวอร์ต่อรองสูงแบบที่ใครเทียบไม่ติด เป็นฐานค้ำอำนาจ ต่อยอดอีก 4 ปี
เป้าหมายเพื่อเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะรวมกับเพื่อไทย หรือพรรคไหนก็ไร้ปัญหา จะมีก็แต่พรรคประชาชน ที่ต้องสู้กับกับตัวเองให้ถึง 250 เพื่อยืนด้วยขาตัวเอง หลังเข็ดหลาบกับคำหวาน พูดแล้วเท แก้รัฐธรรมนูญ แท้งคาตา







