ร้อง กกต.สอบ 'บิ๊กเนมส้ม' ส่อครอบงำ ปชน. ปมร่วมกิจกรรมพบ ปชช.

ร้อง กกต.สอบ 'บิ๊กเนมส้ม' ส่อครอบงำ ปชน. ปมร่วมกิจกรรมพบ ปชช.

'ศรีสุวรรณ' ขยับร้อง กกต.สอบ 'ธนาธร-ปิยบุตร-พิธา-ชัยธวัช' ส่อครอบงำ-ชี้นำพรรคส้มหรือไม่ ปมร่วมกิจกรรม 'ปิกนิก' ปชน.พบประชาชน

KEY

POINTS

  • นายศรีสุวรรณ จรรยา ยื่นคำร้องต่อ กกต. ให้ตรวจสอบ 4 บุคคลสำคัญทางการเมือง ได้แก่ ธนาธร, ปิยบุตร, พิธา และชัยธวัช
  • ข้อกล่าวหาคือการเข้าร่วมกิจกรรม "ปิกนิก พรรคประชาชนพบประชาชน" อาจเข้าข่ายควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำพรรคประชาชน ซึ่งขัดต่อกฎหมายพรรคการเมือง เนื่องจากทั้งหมดถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง
  • หาก กกต. วินิจฉัยว่ามีความผิดจริง อาจนำไปสู่การยุบพรรคประชาชน และผู้ที่เกี่ยวข้องอาจมีโทษจำคุกและปรับ

เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2568 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน เดินทางมายื่นคำร้องเพื่อชี้เบาะแสให้นายทะเบียนพรรคการเมือง และ กกต.ให้ไต่สวนและสอบสวน กรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และ นายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ไปร่วมกิจกรรม“ปิกนิก พรรคประชาชนพบประชาชน ขอโทษจากใจ ขอไปต่อด้วยกัน” นั้น

เข้าข่ายควบคุม ครอบงำ และชี้นำพรรคประชาชนหรือไม่ เนื่องจากบุคคลทั้ง 4คน เคยถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตาม พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 92 วรรคสอง มีกำหนดเวลาสิบปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรม นูญมีคำสั่งยุบพรรค และห้ามมิให้ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของพรรค การเมืองใดหรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ภายในกำหนด 10 ปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล ตามลำดับ จึงถือได้ว่าเป็นบุคคลต้องห้ามตามข้อบังคับพรรคประชาชน พ.ศ.2567 ข้อ 12(6) ประกอบมาตรา 9 (3) ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง2560 เพราะอยู่ระหว่างการถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 98 (5) ของรัฐธรรมนูญ 2560

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การที่บุคคลทั้ง 4นั้น กลับมาร่วมกิจกรรมและพูดคุยในเวทีดังกล่าวของพรรคประชาชน ซึ่งคำพูดของทั้ง 4 คนที่พูดออกมาสามารถบ่งบอกและใช้เป็นหลักฐานได้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบุคคลทั้ง 4 คนยังวนเวียนช่วยเหลือเกื้อกูลอยู่เบื้องหลังการดำเนินกิจกรรมของพรรคประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 การสนับสนุนให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี อันอาจถือได้ว่าเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งขัดต่อมาตรา 29 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ที่กำหนดเป็นข้อห้ามไว้ ซึ่งมีความผิดตามมาตรา 108 ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 1 แสนบาทถึง 2 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ส่วนพรรคประชาชนก็ย่อมถือได้ว่าปล่อยให้บุคคลซึ่งมิใช่สมาชิกมาควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคประชาชน อันอาจเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 28 ด้วย ซึ่งมีโทษสูงสุดถืงขั้นยุบพรรคประชาชนได้ ตามมาตรา 92(3) ด้วย 

เมื่อถาม หาก กกต.ไม่รับพิจารณา เพราะหลักฐานไม่เพียงพอ นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับเหตุผลของ กกต. แต่หลักฐานที่ตนนำมายื่นเป็นสิ่งที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ทั่วไป พฤติกรรมและคำพูดของคนทั้ง 4 ว่า เป็นควบคุมหรือชี้นำอย่างชัด เจน ถ้า กกต.ยังไม่รับฟัง ตนก็อาจจะนำเรื่องนี้ไปฟ้องเอาผิด กกต.และนายทะเบียนพรรคการเมือง ต่อ ป.ป.ช.ฐานทุจริตต่อหน้าที่และฝ่าฝืนจริยธรรมต่อไป