'ปชน.' เดินเกมพลาด เลือกตั้งภาวะสงคราม

ดูเหมือน หลัง “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจยุบสภา เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่นักวิเคราะห์การเมืองมีความกังวล ก็คือ การเลือกตั้งทั่วไปจะตามมากี่โมง
แม้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 103 กำหนดชัดเจนให้จัดการเลือกตั้ง “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)” ภายใน 45-60 วัน นับแต่วันที่มี พ.ร.ฎ.ยุบสภา ประกาศใช้ ก็ตาม นั่นเพราะประเทศไทย กำลังอยู่ในภาวการณ์สู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาหลายจังหวัด และตามรัฐธรรมนูญ มาตรา103 วรรคสอง
กำหนดให้ภายใน 5 วันนับแต่วันที่ พ.ร.ฎ.ใช้บังคับ “กกต.” ต้องประกาศวันเลือกตั้งทั่วไปในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งต้องไม่น้อยกว่า 45 วันแต่ไม่เกิน 60 วัน และกำหนดวันเดียวกันทั่วประเทศ
นั่นหมายความว่า ในพื้นที่ที่มีสถานการณ์สู้รบติดพันอยู่ หรือยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ จนผู้สมัคร ส.ส. สามารถหาเสียงเลือกตั้งได้และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ ก็ต้องกำหนดเป็นวันเดียวกัน จะทำได้หรือไม่
จริงอยู่, แม้ว่า กกต. จะกำหนดวันรับสมัครเลือกตั้ง และวันเลือกตั้งไปแล้ว แต่หากมีเหตุจำเป็นการสู้รบ ไทย-กัมพูชา ยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ รัฐธรรมนูญมาตรา 104 ระบุว่าถ้ามีเหตุจำเป็นคณะกรรมการเลือกตั้ง กำหนดวันเลือกตั้งใหม่ได้ แต่ต้องจัดการเลือกตั้งให้เกิดขึ้นภายใน 30 วัน นับแต่เหตุการณ์นั้นสิ้นสุดลง ซึ่งเป็นการกำหนดวันเลือกตั้งใหม่และเป็นการขยายเวลาของทั้งประเทศ เพราะต้องให้การเลือกตั้งเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร
นี่คือ ผลพวงการ"ยุบสภา" ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ไม่น่าเกิดขึ้น ซึ่งหากเป็นการเดินเกมการเมือง ก็ถือว่า “ผิดพลาด” ไร้วุฒิภาวะ อย่างสูง
ประเด็นที่น่าสนใจ การยุบสภาครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังสมาชิกรัฐสภาเสียงข้างมากมีมติให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256/28 ต้องได้รับความเห็นชอบจากส.ว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของที่มีอยู่ทั้งสภา
ซึ่ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน และเป็นพรรคการเมืองที่สนับสนุนนายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรี เรียกร้องนายอนุทิน ในฐานะนายกฯยุบสภาผู้แทนราษฎร หลังจากที่มีสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ร่วมลงมติจนชนะ
“ถ้าเสียงโหวตส่วนใหญ่รัฐสภา กลับร่างของกรรมาธิการเสียงข้างมาก พวกผมไม่สามารถยอมรับให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เดินเข้าสู่วาระ 3 ได้ ในฐานะฝ่ายค้านเสียงข้างมาก ต้องร้องขอให้นายกรัฐมนตรียุบสภา” ผู้นำฝ่ายค้าน เรียกร้อง
สำหรับผลการลงมตินั้น รอบแรก พรรคภูมิใจไทย โหวตสนับสนุนฝ่าย ส.ว.เสียงข้างน้อย ให้กลับมาชนะด้วยเสียง 312 ต่อ 290 และการลงมติครั้งที่สอง ด้วยการขานชื่อ ผลการลงมติ ฝ่าย ส.ว. และ ส.ส.ภูมิใจไทย ชนะด้วยคะแนน 329 ต่อ 302 เสียง
ด้าน “อนุทิน” นอกจากโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อเวลา 22.05 น. ของวันที่ 11 ธันวาคม “ผมขอคืนอำนาจกลับไปยังพี่น้องประชาชนครับ” แล้ว
ต่อมาได้ให้ เหตุผลการตัดสินใจยุบสภาว่า ต้องการคืนอำนาจให้ประชาชน ตนและพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลได้ เพราะพรรคประชาชนให้เป็น การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็พยายามทำมาตลอด
และในสัญญาที่มีต่อกันใน MOA ทั้ง 4-5 ข้อ พรรคภูมิใจไทยก็ปฏิบัติตามมาตลอด แต่เรื่องการแก้ไข ม.256/28 เกี่ยวกับอำนาจ ส.ว.ในการโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่เคยมีการพูดกันใน MOA มาก่อน
แต่เมื่อหัวหน้าพรรคประชาชนแถลงในรัฐสภาว่า ถ้าพรรคภูมิใจไทยไม่โหวตตามที่พรรคประชาชนต้องการ พรรคก็จะไม่สนับสนุน และขอให้นายกฯยุบสภา
“ท่านโหวตให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ท่านบอกว่า ไม่สนับสนุนผมแล้ว ท่านขอให้ผมยุบสภา ผมก็ทำตามท่าน เป็นไปตามมารยาท และขั้นตอนที่ควรจะเป็น”
อีกด้านหนึ่ง มีรายงานข่าวว่า ภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ชี้แจงให้พรรคประชาชนทราบว่า หากลงมติให้ตัดอำนาจสมาชิกวุฒิสภา ตามที่พรรคประชาชนต้องการ ในวาระ 3 สมาชิกวุฒิสภา จะไม่เห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จะส่งผลให้กระบวนการการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พยายามทำกันมาต้องล้มเหลว
จึงขอให้คงอำนาจส.ว.ไว้ก่อน เพื่อกระบวนการเดินหน้าต่อไปได้ แต่ผู้แทนพรรคประชาชน ไม่ยอม และแจ้งว่าหากโหวตแพ้ในมาตรา 256/28 จะยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทั้งคณะทันที
นี่เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้นายอนุทิน ต้องตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎร เพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคประชาชนให้มาเป็นนายกรัฐมนตรี หากพรรคประชาชนไม่สนับสนุน รัฐบาลก็ต้องสิ้นสุดวาระ
“พวกเราพยายามเจรจากับส.ว. เต็มที่แล้ว แต่เราไปสั่งส.ว.ให้ตัดอำนาจตัวเองไม่ได้ และพยายามเจรจากับพรรคประชาชนแล้วว่า ถ้าตัดอำนาจส.ว. ส.ว.ก็จะไม่เห็นชอบในวาระ 3 ซึ่งกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญก็ไปต่อไม่ได้ และเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อภารกิจที่ทำไม่ได้ตามที่พรรคประชาชนต้องการ ก็ต้องยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นภารกิจหลักตามข้อตกลงการจัดตั้งรัฐบาล คือให้มายุบสภาผู้แทนราษฎร วันนี้นายอนุทิน ได้ทำภารกิจนี้ตามข้อตกลงแล้ว” แกนนำพรรคภูมิใจไทย กล่าว
อย่าลืม “อนุทิน” เคยประกาศไว้ตั้งแต่มีกระแสพรรคเพื่อไทย จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว ว่า ถ้ายื่น ก็จะยุบสภา เพราะแพ้เห็นๆอยู่แล้ว ที่สำคัญ พรรคประชาชนก็รับรู้เรื่องนี้ดี
อะไรไม่สำคัญเท่ากับ นักวิเคราะห์การเมืองต่างพุ่งเป้าตั้งคำถามไปที่การเล่นเกมการเมืองของพรรคประชาชนว่า ไม่ดูสถานการณ์ที่เสี่ยงอย่างมากที่จะไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ เนื่องจากภาวการณ์สู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ สามารถถอยตั้งหลักเพื่อพูดคุยกันใหม่ได้ ไม่ใช่ดันทุรังจะเอาให้ได้อย่างเดียว
อีกความผิดพลาดของพรรคประชาชน คือ การแบกอุดมคติทางการเมือง และแบกด้อมส้มเอาไว้บนบ่า จนวางไม่ลง โดยเฉพาะการต่อต้านอำนาจทหาร และต่อต้านอุดมคติชาตินิยม
ยิ่งในสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา ที่รัฐบาลอนุทิน มอบอำนาจให้ “กองทัพ” ปฏิบัติการทางทหารอย่างเบ็ดเสร็จ ตอบโต้การละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและอธิปไตยไทย ของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่
ปรากฏว่า “พรรคส้ม” อีหลักอีเหลื่อที่จะแสดงจุดยืนในเรื่องนี้ จะหนุนรัฐบาลและทหาร เพื่อให้ได้กระแสนิยมจากประชาชน ก็ขัดกับอุดมคติทางการเมือง จะคัดค้านอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ก็กลัวคะแนนนิยมจะหดหาย
ปรากฏการณ์ “ทัวร์ลงเท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน จึงเกิดขึ้น กรณีโพสต์ข้อความ(8 ธ.ค.68)ว่า “Endgame ระบอบฮุน เซน เปิด 3 แนวรบ จบปัญหาถาวร”
โดยระบุ ยืนยันว่า การรบเพื่อปกป้องประชาชน และรับมือภัยคุกคามจากนอกประเทศ เป็นความชอบธรรมของไทยที่จะทำ แต่การรบเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถจบปัญหากัมพูชาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้ และยังเสี่ยงที่ไทยจะตกหลุมพรางกัมพูชาในสงครามข่าวสาร เราเผชิญ Hybrid Warfare การรบที่มีหลายแนว หลายรูปแบบ ไม่ใช่การปะทะด้วยอาวุธที่จะเอาชนะกันด้วยความเหนือกว่า ทางกำลัง และขีดความสามารถในการรบเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
ผมจึงขอเสนอให้รัฐบาลของนายอนุทิน เปิด 3 แนวรบ ระดมทุกสรรพกำลังเพื่อจบเกมรัฐบาลกัมพูชา ดังนี้
1. แนวรบทางทหาร ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศสนับสนุนและกองทัพได้ดำเนินการอยู่แล้ว การรบอย่างเต็มกำลัง โดยมุ่งทำลายเป้าหมายทางทหารเพื่อขจัดขีดความสามารถในการรบของกัมพูชา(กองทัพกำลังทำอยู่)
2. แนวรบข่าวสาร กระทรวงการต่างประเทศต้องเร่งชี้แจงว่าไทยมีความชอบธรรมในการปกป้องตนเองต่อประชาคมโลก และเราจำกัดขอบเขตโจมตีเป้าหมายทางทหารอย่างเคร่งครัด ต้องนำเกม อย่าตามเกมกัมพูชาที่รอวันนี้เพื่อรับบทประเทศเล็กกว่าถูกประเทศใหญ่รังแก(รัฐบาลกำลังทำอยู่)
3. แนวรบโลกล้อมกัมพูชาด้วยการปราบสแกมเมอร์ รัฐบาลต้องเดินหน้าสุดซอยในการขุดรากถอนโคนขบวนการสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นหัวใจของระบอบฮุน เซน อย่าทำแค่จัดประชุมเรื่องปราบสแกมเมอร์ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 17-18 ธ.ค.นี้ รัฐบาลต้องมีแผนการมากกว่านี้ กระทรวงการต่างประเทศต้องคิดว่าจะประสานความร่วมมือกับแต่ละประเทศอย่างไรในการจัดการสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก...(รัฐบาลทำอยู่)
ปรากฏว่า ถูก “ด้อมส้ม” รุ่นใหญ่หลายคนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก บางคนถึงกับจะเลิกเป็นสมาชิกพรรคส้ม
เอาแค่ ศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ ก็ถือว่าหนักหนาสาหัส โดย โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า เป็นจุดยืนของพรรคประชาชนและหัวหน้าพรรคที่น่าผิดหวังมาก โดยเฉพาะข้อที่สนับสนุนให้รัฐบาลอนุทินหาทางจบเกมด้วยกำลังทางทหาร (ข้อ 1)
อะไรคือขอบเขตของการ 'ทำลายเป้าหมายทางทหารเพื่อขจัดขีดความสามารถในการรบของกัมพูชา' หากคลังอาวุธของ กพช. ตั้งอยู่ในนอกพื้นที่ชายแดน อยู่ในเมืองใหญ่ อยู่ในพนมเปญ ไทยต้องบุกเข้าไปทำลายด้วยใช่หรือไม่ หากทำเช่นนี้ มันไม่ใช่การป้องกันตนเองแล้ว แต่คือการรุกรานดินแดน พวกคุณไม่รู้จริงๆ
หรือว่ากำลังเรียกร้องให้ทหารไทยละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่รู้จริงๆ หรือว่าวิธีการเช่นว่านี้จะทำให้สงครามลุกลามบานปลาย การตอบโต้ของฝ่ายกัมพูชาก็จะรุนแรงเช่นกัน ประชาชนของทั้งสองประเทศจะต้องสังเวยชีวิตให้กับความขัดแย้งนี้อีกเท่าไร ความขัดแย้งที่จนวันนี้ เราก็ยังไม่รู้แน่ว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังบ้าง
ต่อให้พวกคุณเชื่ออย่างสนิทใจว่าความขัดแย้งวันนี้ เป็นเพราะฮุนเซนไม่พอใจเรื่องการปราบสแกมเมอร์ในไทย ข้อเสนอให้โต้ตอบที่ว่ามา ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้เลย
จนต่อมา “เท้ง” ณัฐพงษ์ ต้องออกมาแถลงข่าว (9 ธ.ค.68) เสนอฉากจบที่จบด้วยการเจรจา 3 ประการ คือ
1. การใช้กำลังทางการทหาร ต้องมีไว้เพื่อปกป้องอธิปไตย และเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ กฎการใช้กำลัง และการตอบโต้อย่างได้สัดส่วน เพื่อหยุดยั้งการคุกคามของกัมพูชา
2. การดำเนินการทุกอย่างต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง ไม่ปฏิบัติเกินหลักสากล จนไทยเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำไปตกหลุมพรางของฮุนเซนว่า เราเป็นฝ่ายรุกรานก่อน
3. การใช้การทูตกดดันกัมพูชาให้กลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา โดยร่วมมือกับนานาชาติใช้กลไกระหว่างประเทศเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทยมากที่สุด เช่น การใช้เรื่องสแกมเมอร์เป็นธงนำ ดึงความร่วมมือทุกประเทศทั่วโลกมาอยู่ข้างประเทศไทยในการปราบปรามสแกมเมอร์และการฟอกเงิน...
กลายเป็นท่าทีที่ยกการ “เจรจา” ขึ้นมาเป็นพระเอกของทางออก
สิ่งที่น่าวิเคราะห์ต่อไปก็คือ พรรคส้มผิดพลาดในกระแสเลือกตั้งอย่างใหญ่หลวงสองเรื่อง เรื่องแรก เป็นต้นเหตุให้เกิดการยุบสภา ในภาวะวิกฤติสงครามไทย-กัมพูชา เรื่องที่สอง พรรคประชาชน ไม่กล้าแสดงจุดยืนสนับสนุนการสู้รบไทย-กัมพูชา อย่างเต็มที่ แบบชนิดเอาประเทศไว้ก่อน การเมืองมาทีหลัง จึงออกอาการเป๋ไปเป๋มา ไร้จุดยืนที่มั่นคง
ส่วนการเลือกตั้ง ถ้าจะมีขึ้นหลังการสู้รบยุติลงในเร็ววัน? พรรคส้มก็ต้องถูกกระแสชาตินิยมไล่ล่า และกระแสโจมตีเอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว(แก้รัฐธรรมนูญ) ไม่รู้ “กาลเทศะ” ตามหลอกหลอนจนวันหย่อนบัตรเลือกตั้งอย่างไม่ต้องสงสัย หรือไม่จริง?







