ลุ้นแลนด์สไลด์ เปลี่ยนสมการ การเมือง 3 ขั้ว รัฐพันลึกชี้ขาดนายกฯ

จับตาสมการวังวน 3 ขั้ว 3 ก๊ก "พรรคประชาชน-พรรคภูมิใจไทย-พรรคเพื่อไทย" เดินหน้าสมรภูมิเลือกตั้งชิงนำพรรคเบอร์หนึ่ง "รัฐพันลึก" ยังกุมทิศทางการเมืองหลังเลือกตั้ง
KEY
POINTS
- ฉากทัศน์การเมืองไทยหลังการเลือกตั้งยังเป็นการแข่งขันของ 3 ขั้วหลัก "พรรคประชาชน-พรรคภูมิใจไทย-พรรคเพื่อไทย" ซึ่ง 3 พรรคยังเผชิญกระแสแต้มนิยมที่ยังลดลง
- "นิด้าโพล" ชี้พรรคประชาชนยังคงชิงนำพรรคเบอร์หนึ่งจากการวัดผลสำรวจ และยังหวังแลนด์สไลด์เพื่อเปลี่ยนสมการการเมือง ท่ามกลางกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ยังไม่ตัดสินใจซึ่งมีจำนวนสูงถึงร้อยละ 40
- ผลสำรวจชี้ว่าประชาชนจำนวนมากยังไม่ตัดสินใจเลือกคนที่เหมาะสมเป็นนายกฯ และยังไม่สามารถหาพรรคที่เหมาะสมได้
- การจัดตั้งรัฐบาล และโหวตเลือกนายกฯ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลคะแนนเสียงเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับทิศทางการชี้นำของ "รัฐพันลึก" รวมทั้งผู้นำจิตวิญญาณที่อยู่ฉากหลังพรรคการเมือง
อีกไม่เกิน 60 วัน คนไทยจะได้เห็นพรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้ง และได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ หรือคนเดิม
ทว่า กว่าจะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้อย่างเป็นทางการ ก็ต้องใช้เวลาถึงเดือน เม.ย.- พ.ค.2569
เท่ากับ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะอยู่ในตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี จนกว่าจะมีนายกฯ คนใหม่ ไปได้อีกราวๆ 8 เดือน โดยจะอยู่ในตำแหน่งตั้งแต่เดือน ก.ย.-พ.ค.2569
สัญญาณหาเสียงเลือกตั้ง นับหนึ่งจากนี้ ฉากทัศน์การเมืองไทยหลังการเลือกตั้งใหญ่ ในช่วงต้นเดือน ก.พ.หรือสิ้นเดือน ม.ค. 2569 จะได้เห็นพลังการต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง ของ 3 พรรคการเมืองหลัก ที่เปรียบเสมือน “3 ก๊กการเมือง” เป็นเดิมพัน
โดยทั้ง 3 พรรค จะชิงการนำกัน ระหว่างที่ 1-2-3
สะท้อนได้จากผลสำรวจความคิดเห็นของ “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เกี่ยวกับการสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 4/2568 สำรวจความคิดเห็นประชาชนระหว่างวันที่ 4-12 ธันวาคม 2568 จากผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 2,500 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับคะแนนนิยมทางการเมือง
โดยบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี ในวันนี้ พบว่า
อันดับ 1 ร้อยละ 40.60 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้
อันดับ 2 ร้อยละ 17.20 ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ พรรคประชาชน
อันดับ 3 ร้อยละ 12.32 อนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย
อันดับ 4 ร้อยละ 10.76 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พรรคประชาธิปัตย์
อันดับ 5 ร้อยละ 6.28 จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ พรรคเพื่อไทย
อันดับ 6 ร้อยละ 3.88 พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ พรรคเศรษฐกิจ
อันดับ 7 ร้อยละ 3.12 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พรรคไทยสร้างไทย
สำหรับพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้
อันดับ 1 ร้อยละ 32.36 ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้
อันดับ 2 ร้อยละ 25.28 พรรคประชาชน
อันดับ 3 ร้อยละ 11.80 พรรคประชาธิปัตย์
อันดับ 4 ร้อยละ 11.04 พรรคเพื่อไทย
อันดับ 5 ร้อยละ 9.92 พรรคภูมิใจไทย
อันดับ 6 ร้อยละ 2.76 พรรคเศรษฐกิจ
อันดับ 7 ร้อยละ 2.32 พรรครวมไทยสร้างชาติ
อันดับ 8 ร้อยละ 2.00 พรรคไทยสร้างไทย
อันดับ 9 ร้อยละ 1.12 พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 1.36
ประชาชนลุ้นให้ถึง“แลนด์สไลด์”
พรรคเต็งหนึ่งในการเลือกตั้งใหญ่ อย่าง พรรคประชาชน ประเดิมเปิดตัว 3 แคนดิเดตนายกฯ ล่วงหน้า เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2568 ก่อนยุบสภา โดยอาศัยช่วงที่พรรคขั้วส้ม กำลังเปิดฉากชำแหละตรวจสอบ “สแกมเมอร์” หรือ “ทุนเทา” อย่างหนัก โดยพุ่งเป้าบั่นทอนคะแนนนิยม “พรรคกล้าธรรม” ที่มี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นผู้นำจิตวิญญาณพรรค
“หัวหน้าเท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เป็นแคนดิเดตนายกฯ เบอร์ 1 ร่วมกับ ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค เป็นนักนโยบายสาธารณะ และ วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร “อาจารย์ต้น” รองหัวหน้าพรรค คีย์แมนนโยบายด้านเศรษฐกิจ
พรรคประชาชน โชว์แคมเปญแรกก่อนยุบสภา เพื่อสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ ว่า “สร้างประเทศไทยที่ไม่มีสีเทา-เท่ากัน-ทันโลก” รวมทั้งยังโหมแคมเปญ “มีเทา ไม่มีเรา”
อย่างไรก็ตาม พรรคประชาชน กลับไม่สามารถผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดช่อง มาตรา 256 ในการนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะ ซีก สว.ในรัฐสภา ต่างรวมพลังคัดค้านการตัดอำนาจ 1 ใน 3 ของ สว.ที่จะต้องเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ทำให้ “อนุทิน” ต้องตัดไฟเร่งทูลเกล้าฯ พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร ทันที จนนำไปสู่การบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2568
คะแนนนิยมของพรรคประชาชนร่วงลงมาจากไตรมาส 3 เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา โดยจากที่ได้ร้อยละ 33.08 เหลือร้อยละ 25.28 ส่วนความนิยมของ“ณัฐพงษ์” ลดลงจากร้อยละ 22.8 เหลือ 17.2
มีการวิเคราะห์ว่า กระแสนิยมพรรคส้ม แม้จะยืน 1 ในบรรดาทุกพรรคการเมือง เพราะยังมีกระแสหนุนส่ง แต่จุดอ่อนที่ทำให้เสียแต้มเพราะมีส่วนสำคัญในการโหวตให้ “อนุทิน” เป็นนายกฯ จนกลายเป็นวาทกรรม “นายกฯส้มโหวต” แต่สุดท้ายกลับถูกหักดิบกลางรัฐสภา ไม่สามารถเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญได้
ในกิจกรรม “ขอโทษจากใจ ขอไปต่อด้วยกัน มุ่งหน้าสู่การเลือกตั้ง ภารกิจตัดสินอนาคตประเทศไทย” มีการโชว์ตัวแคนดิเดตนายกฯ 3 คน และผู้นำจิตวิญญาณของพรรค ระหว่างรับฟังเสียงสะท้อนจากโหวตเตอร์
มีโหวตเตอร์รายหนึ่ง ถึงขั้นต่อว่า เรื่องแคมเปญขอโทษ เป็นเพียงการขอโทษแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่กลับไม่ขอโทษที่พรรคประชาชนให้ สส.ไปร่วมโหวตสนับสนุน “อนุทิน” เป็นนายกฯ ในขณะที่ปัญหาสถานการณ์ชายแดน พรรคกลับไม่แสดงจุดยืนที่ชัดเจน ปล่อยให้ “อนุทิน” แสดงออกปลุกกระแสชาตินิยม สถานการณ์นี้ ทำให้คะแนนพรรคประชาชน รวมทั้งหัวหน้าเท้ง ยังไม่กระเตื้องขึ้น
อย่างไรก็ตาม ต้องจับตายุทธศาสตร์ และการปั่นกระแสผ่านหัวคะแนนธรรมชาติของพรรคส้มต่อไปว่า จะทำให้พรรคสามารถดึงแต้มจากกลุ่มคนที่ยังไม่ตัดสิน ที่มีอยู่สูงถึงร้อยละ 32 ได้หรือไม่
แม้คีย์แมนพรรคส้ม จะมั่นใจว่า ปชน.ยังยืนเบอร์ 1 แต่แอบหวังในโค้งสุดท้าย หากกระแสจุดติด จนไปถึงแลนด์สไลด์ตามเป้าหมาย สมการการเมือง ย่อมมีโอกาสพลิกผัน ชนิดเลือกได้ ที่จะเป็นรัฐบาลพรรคเดียว หรือมีพันธมิตรเป็นแนวร่วม
ภูมิใจไทยชิงนำพรรคอนุรักษ์เบอร์ 1
พรรคภูมิใจไทย ก่อนหน้านี้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรค ปล่อยชื่อแคนดิเดตนายกฯ อีก 2 คน คือ "เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ" รองนายกฯ และ รมว.คลัง และ"ศุภจี สุธรรมพันธุ์" รมว.พาณิชย์ ทั้งสองเป็นทีมงานของรัฐบาลที่เป็นมืออาชีพด้านเศรษฐกิจ มีภาพเป็นเทคโนแครต
ผลงานก่อนยุบสภาฯ อาศัยจังหวะที่มีเวลาไม่ถึง 120 วันสามารถผลักดัน นโยบายคนละครึ่งพลัส เฟสแรกสำเร็จ รวมทั้ง “อนุทิน” ยังสามารถใช้อำนาจในกระทรวงมหาดไทย ด้วยการจัดทัพโยกย้ายผู้ว่าฯ และนายอำเภอ เพื่อรองรับการเลือกตั้งที่จะมา
ทำให้มีกระแสข่าวว่า อนุทินเตรียมยุบสภาฯ ในช่วงวันที่ 12 ธ.ค.2568 ในวันแรกของการเปิดประชุมรัฐสภา สมัยสามัญ ชิงหนีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้าน
อย่างไรก็ตาม คะแนนนิยมของพรรคภูมิใจไทยในไตรมาส 4 ร่วงลงเหลือร้อยละ 9.92 จากไตรมาส 3 ที่ได้ 13.24 ขณะที่คะแนนนิยมของ “อนุทิน” ซึ่งเคยได้ร้อยละ 20.44 เหลือเพียง ร้อยละ 12.32
ปฏิเสธไม่ได้ว่า แต้มที่ลดลง เป็นผลจากการแก้ไขวิกฤติน้ำท่วมเมื่อปลายเดือน พ.ย. ที่ไม่ทันท่วงที จนทำให้เกิดมหาวิกฤติอุทกภัยภาคใต้ ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา “อนุทิน” และพรรคภูมิใจไทย เสียความนิยมอย่างหนัก ทั้งที่พยายามตั้งเป้าชิงพื้นที่ภาคใต้ เพื่อภูมิใจไทยเป็นพรรคเบอร์หนึ่งในด้ามขวานไทย
นับจากนี้ ต้องจับตา “แคนดิเดตนายกฯ 3 คน” ของค่ายน้ำเงิน จะแก้เกมวาทกรรมยุบสภาฯ หนีซักฟอกได้อย่างไร รวมทั้งจะเบียดพรรคประชาธิปัตย์ นำกระแสได้หรือไม่
เมื่อประชาธิปัตย์ ซึ่งได้ "อภิสิทธิ์" กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง เริ่มมีคะแนนนิยมที่เหนือกว่า "อนุทิน" และ "พรรคภูมิใจไทย เพราะฐานเสียงส่วนใหญ่ทั้งสองพรรค พยายามชิงธง และผงาดเป็นพรรคแกนนำปีกอนุรักษนิยม เพียงแต่พรรคภูมิใจไทยได้เปรียบเรื่องสรรพกำลัง การใช้พลังดูด "นักเลือกตั้ง" บ้านใหญ่ ให้เข้ามาอยู่กับค่ายน้ำเงินได้มากกว่าทุกครั้ง
แคมเปญสานต่อ “พูดแล้วทำ” ที่ “อนุทิน” มักเลือกใช้อยู่บ่อยครั้ง จะสามารถผลักดันให้ “ภูมิใจไทย” ทะยานขึ้นผงาดเป็นพรรคเบอร์ 1 ได้หรือไม่ คงต้องลุุ้นผลหย่อนบัตรกัน
เพื่อไทยเปิดอาวุธลับ ฝ่ากระแสร่วง
ตัดมาที่ “พรรคเพื่อไทย” ค่ายสีแดง ระหว่างที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้นำจิตวิญญาณ ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ทำให้พรรคเพื่อไทยไร้ศูนย์กลางอำนาจ ศูนย์รวมจิตใจของพรรค
ทว่า ค่ายแดง ยังมีคีย์แมนอาวุธหนักอย่าง“เดอะซัน”สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย เดินสายตรึงกำลัง สส.บ้านใหญ่ ในแถบภาคอีสาน โดยตั้งเป้าจะรักษาแชมป์ สส.ภาคเหนือ และภาคอีสานไว้ให้ได้ ตั้งเป้าต้องได้ สส.ทั้งหมดไม่ต่ำ 200 ที่นั่ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อวัดสภาพความนิยมจากนิด้าโพล ไตรมาส 4 คะแนนของพรรคเพื่อไทยกลับยังไม่กระเตื้องขึ้น ร่วงลงจากร้อยละ 13.9 เหลือ ร้อยละ 11.04 เป็นรองพรรคประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ แต่ยังเหนือกว่าพรรคภูมิใจไทยที่ได้ร้อยละ 9.92
ส่วนตัวแคนดิเดตนายกฯ แม้จะมีชื่อ “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” หัวหน้าพรรค และถูกวางตัวไว้เป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตนายกฯ ซึ่งผลสำรวจล่าสุด ความนิยมมีเพียงร้อยละ 6.28 เป็นรองทั้ง ณัฐพงษ์ อนุทิน และอภิสิทธิ์
แน่นอนว่า กลยุทธ์และอาวุธลับในการยกเครื่องตัวแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย จำเป็นต้องใช้การสานต่อนโยบายเก่าให้เกิดรูปธรรม รวมทั้งต้องใช้แคนดิเดตนายกฯ ที่มีภาพลักษณ์ที่ดี เรียกคะแนนนิยมทางการเมืองกลับมาสู่พรรคอีกครั้ง เพื่อดึงกลุ่มคนยังไม่ตัดสินใจ
อีกทั้งยังต้องอาศัยเสียงฐานแฟนคลับเก่า ที่ถึงอย่างไรก็เลือกพรรคเพื่อไทย ไม่ให้ตีจากไปหนุนพรรคอื่น และยังต้องดึงแต้มคนเสื้อแดงที่เคยอกหักจากพรรคเพื่อไทยเมื่อครั้งดีลข้ามขั้วเมื่อปี 2566 ให้กลับมาด้วย
“ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์” ลูกชายคนโตของ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” อดีตนายกฯ คนที่ 26 และ “เยาวภา วงศ์สวัสดิ์” แกนนำภาคเหนือ มีโปรไฟล์ สายแข็งด้านวิชาการ เป็นนักวิจัยด้านสมอง และวิศวกรรมชีวการแพทย์ รวมทั้ง “เชน” ยศชนัน ก็ขยับเข้ามาร่วมวงประชุมกับแกนนำพรรค และคนรุ่นใหม่ของพรรคอย่างต่อเนื่อง
ภายในเพื่อไทย เป็นที่รับรู้กันแล้วว่า นี่คือแคนดิเดตนายกฯ เบอร์ 1 ของพรรค ที่จะเป็นนายกฯ คนใหม่ ขณะที่แคนดิเดตนายกฯ อีก 2 รายชื่อ แน่นอนว่า หัวหน้าพรรค “จุลพันธ์” เป็น 1 ใน 3
ที่น่าจับตา อีกราย หากไม่ใช่ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ก็จะเป็นบุคคลที่มีชื่อชั้นเป็นมืออาชีพ ด้านเศรษฐกิจ เป็นคนนอกที่มีคนชินวัตร ออกแรงดัน และไว้วางใจ ให้การสนับสนุน จึงมีกระแสการทาบทามผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งซีอีโอของเอเอสไอมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ
แน่นอนว่า กระแสของพรรคเพื่อไทยที่หดหายไปจากเมื่อครั้งเป็นรัฐบาล 2 ปี จำเป็นต้องเร่งเครื่องอย่างหนัก ผ่านแคมเปญเลือกตั้งแรกในการเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ 3 คน ในวันที่ 16 ธ.ค.นี้ ภายใต้แคมเปญ “ยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้” คือการโชว์ผลงานที่ไม่ได้รับการสื่อสารเชิงรุก ในระหว่างที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล เพื่อโปรโมทและตรึงฐานเสียงให้ร่วมไว้วางใจเลือกพรรคเพื่อไทยต่อไป
รัฐพันลึกกำหนดฉากทัศน์การเมือง
กลยุุทธ์ของ "3 ก๊กการเมือง" ที่มีพลังต่อรองสูงในการเมืองไทยเวลานี้ จำเป็นต้องใช้ทั้งแคมเปญ นโยบาย ทั้งอาวุธหนักของบ้านใหญ่ ในการช่วงชิงดึงคะแนนนิยมจากกลุ่มคนที่ยังไม่ตัดสินใจ ที่มีมากถึงร้อยละ 40 ในกระแสการเลือกนายกรัฐมนตรี และร้อยละ 32 ที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองใด
ทิศทางการเมืองไทยในปี 2569 แนวโน้มยังอยู่ในวังวนอำนาจทางการเมืองเดิม โดยฉากหลังคือ“รัฐพันลึก” ขณะที่พรรคการเมือง 3 ขั้ว ที่ต้องแย่งชิงการนำ ยังจำเป็นต้องพึ่งพาการตัดสินใจของผู้นำจิตวิญญาณที่อยู่หลังฉาก อย่างปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน







