'ชยิกา' ชูนโยบาย 'เพื่อไทย' เน้นเปิดตลาดใหม่ หนุนแลนด์บริดจ์

“ชยิกา” ชี้นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศเพื่อไทย เน้นทางรอด เปิดตลาดใหม่ ดึงการลงทุนใหม่ หนุนโครงการแลนด์บริดจ์ ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลกเพิ่มอำนาจต่อรองในเอเชีย
น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะคณะทำงานด้านนโยบายต่างประเทศพรรคเพื่อไทย กล่าวในเวทีสัมมนา “การเมืองไทยจะนำพาประเทศไปทางไหน ในบริบทโลกที่เปลี่ยนไป” ที่สมาคมสื่อมวลชนนานาชาติประเทศไทย และสำนักข่าว IMCT NEWS โดยกล่าวถึงนโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย เพื่อเปลี่ยนความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของโลก ให้กลายเป็นโอกาสในการดึงดูดการลงทุนใหม่ และเร่งรัดการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตที่ยืดหยุ่นและมีเสถียรภาพในปี 202 สำหรับนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศของพรรคเพื่อไทย จะเป็นนโยบายทางรอด ไม่ใช่ทางเลือก เพราะที่ผ่านมาทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ได้วิเคราะห์ว่า ทำไมจีดีพีไทยจึงโตต่ำกว่าอดีต โตต่ำกว่าศักยภาพ และโตต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งที่ศักยภาพน่าโตได้ถึง 5% ดังนั้น ประเทศไทย จะต้องกล้าปรับตัว และกล้าลงมือ เพื่อให้ทันกับโอกาสที่กำลังเปิดขึ้นรอบตัวเรา โดยจะต้องดึงการลงทุนรอบใหม่ โดยเฉพาะจากกลุ่มที่กำลังมองหาฐานการผลิตใหม่ ที่เข้าสหรัฐฯ ได้โดยไม่โดนภาษี หรือภาษีต่ำกว่า เพื่อสร้าง “Local Partner Requirement” ให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี สร้างงาน และยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศอย่างแท้จริง
ขณะเดียวกันต้องใช้การทูตเทคโนโลยี เพื่อต่อยอด และดึงดูด ยกระดับให้ประเทศไทย รวมทั้งเร่งทำความตกลงการค้าเสรี กับประเทศที่มีดีมานด์สูง เช่น ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรต และอินเดีย เพื่อให้สินค้าเกษตร อาหารแปรรูป และอุตสาหกรรมไทยเข้าไปแข่งขันได้โดยไม่ติดกำแพงภาษี
น.ส.ชยิกา ระบุว่า เศรษฐกิจไทยจะอยู่ในโลกใหม่ได้ ต้องคิดแบบผู้ชนะในเกมใหม่ ไม่ใช่ติดอยู่กับกติกาเดิม ดังนั้น นโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย จึงต้องเน้น เปิดตลาดใหม่ ดึงการลงทุนรอบใหม่ สร้างมาตรฐานใหม่ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยแข่งขันได้จริงในเวทีโลก และสร้างรายได้ให้ประชาชนอย่างยั่งยืน
น.ส.ชยิกา ระบุว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลพรรคเพื่อไทย เห็นความผันผวนในภูมิรัฐศาสตร์โลกอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นจากมาตรการกีดกันทางการค้า จึงได้สมัครเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS+ เพื่อเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ เพราะถือเป็นตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพ มีผู้ผลิต และผู้ซื้อจำนวนมาก จะเป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจในกลุ่ม Global South จนไทยได้สถานะ Partner Country กับ BRICS+ ซึ่งนับเป็นโอกาสเชิงการตลาดที่ต้องถูกใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการดึงดูดการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยว
ขณะเดียวกัน น.ส.ชยิกา มองถึงเบื้องหลังการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนแรง ระหว่างจีนและสหรัฐฯ แท้จริงคือ การแข่งขันเพื่อควบคุมโครงสร้างเศรษฐกิจโลก ดังนั้น จะต้องรักษาสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ และกระจายอำนาจความเสี่ยงกับทุกขั้วอำนาจ ปกป้องและส่งเสริมผลประโยชน์ของไทยผ่านการแสวงหาความร่วมมือใหม่ ๆ ที่เป็นรูปธรรม เช่น กับสหรัฐฯ ไทยควรมุ่งเน้นความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น และส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจและความมั่นคง ตลอดจนความเป็นหุ้นส่วนในบริบทภูมิภาค ซึ่งตรงนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็ได้เคยเจรจาภาษีสหรัฐ 19% มาแล้ว
สำหรับจีน ไทยต้องกล้าที่จะยกประเด็นที่กระทบต่อผลประโยชน์ของไทยโดยตรงมากขึ้น รวมถึงยังจะต้องเพิ่มปฏิสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจขนาดรอง และมหาอำนาจในภูมิภาคอื่นพร้อมขับเคลื่อนการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ กัมพูชา และ สปป.ลาว เปลี่ยนแนวคิดความขัดแย้ง เป็นความร่วมมือ
น.ส.ชยิกา ยังเห็นว่า การแสดงบทบาทที่สร้างสรรค์ในประเด็นความมั่นคงทางอาหาร สาธารณสุข และการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างมียุทธศาสตร์ โดยเป็นสาขาที่เป็นประโยชน์ต่อไทย ส่วนแลนด์บริดจ์เป็นกลไกในทางภูมิเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญ หากโครงการนี้สำเร็จจะเป็น พลังอำนาจต่อรองใหม่ของไทยที่สามารถพลิกบทบาทของไทยในเอเชียได้อย่างมีนัยสำคัญ
"ที่ตั้งของประเทศไทยที่อยู่บนเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจโลก ตอบโจทย์ปัญหาช่องแคบมะละกา ซึ่งปัจจุบันถูกใช้งานเกินความสามารถไปแล้ว จะทำให้ไทยกลายจากประเทศทางผ่าน กลายเป็นประเทศศูนย์กลางเปลี่ยนตำแหน่งของไทยในระบบเศรษฐกิจโลก เพิ่มรายได้ในห่วงโซ่อุปทานของคนไทย ให้นโยบายภูมิเศรษฐศาสตร์ แปลงเป็นรายได้ให้กับคนไทยได้จริง" น.ส.ชยิกา ระบุ







