‘ชัยธวัช’ สรุปบทเรียน ปชน. ดันฉันทามติร่วมใหม่ รับมีราคาต้องจ่าย

‘ชัยธวัช’ สรุปบทเรียน ปชน. ทบทวนเรื่องตัดสินใจการเมือง ทำอย่างไรไม่ให้ผิดพลาด ดันฉันทามติร่วมใหม่ หาจุดตรงกลาง เป็นได้หรือไม่ มีราคาต้องจ่ายเท่าไหร่
KEY
POINTS
- ชัยธวัชสรุปบทเรียนของพรรคประชาชน (ปชน.) ว่ามีความพยายามผลักดันให้สังคมไทยเกิด "ฉันทามติชุดใหม่" เพื่อสร้างกติกาที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันได้
- เขายอมรับว่าการผลักดันการเปลี่ยนแปลงมีข้อจำกัด เนื่องจากมีกลุ่มอำนาจเก่าที่หวาดระแวงและไม่พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง
- เหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้เกิดโจทย์สำคัญว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างสันติเป็นไปได้หรือไม่ และสังคมต้องพร้อมจ่าย "ราคา" แค่ไหนเพื่อบรรลุเป้าหมาย
เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2568 เวลาประมาณ 16.30 น. ที่สนามหญ้า มศว ประสานมิตร พรรคประชาชน (ปชน.) จัดกิจกรรม “ปิกนิกพรรคประชาชนพบประชาชน” โดยมีแกนนำพรรค ผู้บริหารพรรคทั้งอดีต และปัจจุบันมาร่วมด้วย เช่น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ปชน. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล อดีตประธานวิปฝ่ายค้าน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรค ปชน. และแคนดิเดตนายกฯของพรรค เป็นต้น
โดยนายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวตอบคำถามประชาชนที่มาร่วมในงานถึงบทเรียนของ ปชน.หลังทำ MOA กับพรรคภูมิใจไทย กระทั่งเกิดเหตุการณ์ยุบสภาฯที่ผ่านมา ว่า ไม่รู้ตอบตรงคำถามหรือไม่ แต่อาจไม่ได้ตอบเรื่องหมาหางด้วน บทเรียนคงจะมีหลายเรื่อง คิดว่ามันทำให้เรานอกจากเรื่องการตัดสินใจทางการเมืองของพรรคประชาชนในอนาคต ที่จะทำอย่างไรไม่ผิดพลาด หรือทำให้ผู้สนับสนุน ประชาชนที่ให้เสียงเรามา สูญเสียความไว้วางใจ คงตอบแทนนายณัฐพงษ์ นายรังสิมันต์ นายวีระยุทธ นายวิโรจน์ ไม่ได้ คงต้องคุยกันต่อ
นายชัยธวัช กล่าวว่า คิดว่ามันเห็นถึงข้อจำกัดในทางการเมืองในปัจจุบันว่า ในฐานะที่เราอยากผลักให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้า มีข้อจำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไร คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา มันก็สะท้อน เชื่อว่าตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล มา ปชน. มีสิ่งหนึ่งที่เราอยากทำให้เกิดขึ้น โดยภาพรวมหลังรัฐประหาร 2 ครั้งคือว่า เราอยากให้สังคมไทยมีฉันทามติขึ้นมาชุดใหม่ แม้เห็นไม่ตรงกันซักเรื่อง หรือความคิดทางการเมืองคนละเฉดกัน แต่สุดท้ายหลังผ่านความขัดแย้งขนาดนี้ น่าจะหาจุดตรงกลางที่พอจะยอมรับร่วมกันได้
นายชัยธวัช กล่าวด้วยว่า ถ้าในทางการเมือง อาจกำลังพูดถึง กฎกติกาทางการเมืองที่พอจะยอมรับร่วมกันได้ ในกติกาเดียวกัน ที่ไม่มีใครได้ทั้งหมด ไม่มีใครเสียทั้งหมด แต่คิดว่าสัญญาณที่เกิดขึ้นเมื่อ 11 ธ.ค.นั้น อาจเป็นการส่งสัญญาณว่า มีพลังทางการเมือง หรือพลังทางสังคมของเดิม ของเก่า ที่ยังหวาดระแวงกับการเปลี่ยนแปลง หรือไม่พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง แข็งตัวมากในระดับที่ไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว
“เรื่องนี้ทำให้เกิดโจทย์ว่า เอ๊ะ ความเป็นไปได้ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างสันติ ที่พอจะอยู่ร่วมกันได้ มันเป็นไปได้ หรือเป็นไปไม่ได้ หรือถ้าเป็นไปได้ต้องใช้ราคาแค่ไหน ในการจ่ายร่วมกัน อันนี้ผมไม่เป็นบทเรียน เป็นโจทย์ขึ้นมาในใจ อาจต่อยอด เพราะฟังคุณธนาธร (จึงรุ่งเรืองกิจ) เคยพูดเรื่อง Grand Compromise มันหมายความว่าอย่างไร ไปอย่างไรต่อ” นายชัยธวัช กล่าว







