'ฝ่ายค้าน' แพ้มติรัฐสภา ฟื้นเสียงสว. 1ใน3 แต่ขอให้นับคะแนนใหม่

'ฝ่ายค้าน' แพ้มติรัฐสภา ฟื้นเสียงสว. 1ใน3 แต่ขอให้นับคะแนนใหม่

มติรัฐสภา 312 เสียง ฟื้นเกณฑ์สว. 1ใน3เห็นชอบร่างรธน.ใหม่ ก่อนถูก “ณัฐพงษ์” ขอนับคะแนนใหม่ “กมธ.ข้างมาก”ยันไม่ตัดอำนาจสว. แต่ออกแบบใหม่มีสิทธิ-เสียงเท่ากัน

ที่รัฐสภา  ผู้สื่อข่าวรายงานถึงการประชุมรัฐสภา สมัยวิสามัญ เป็นพิเศษ ได้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ.. ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาแล้วเสร็จ ต่อเนื่องเป็นวันที่สอง โดยที่ประชุมได้พิจารณาต่อเนื่องถึง มาตรา 256/28 ว่าด้วยเกณฑ์การออกเสียงลงคะแนนเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญที่กรรมาธิการ (กมธ.) ร่างรัฐธรรมนูญดำเนินการแล้วเสร็จ โดยกำหนดให้ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา 

ทั้งนี้ พบว่า กมธ.เสียงข้างน้อย ซึ่งเป็นฝั่งของสว. เสนอให้เพิ่มเกณฑ์เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยต้องมีเสียงสว.ร่วมลงมติ ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ประชุมได้ใช้เวลาพิจารณาร่างมาตราดังกล่าว นานกว่า 3 ชั่วโมง เพราะมีประเด็นถกเถียงกันระหว่าง สส.พรรคฝ่ายค้าน และสว. จากนั้นในช่วงการชี้แจงของกมธ.เสียงข้างมาก ยืนยันในหลักการที่ไม่เพิ่มเกณฑ์ของสว.ตามกมธ.เสียงข้างน้อยเสนอ

โดยนายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ฐานะกมธ.เสียงข้างมาก ช่วงหนึ่งระบุว่า หากไม่ผ่อนปรนในบางประเด็น อีก 15 วันร่างรัฐธรรมนูญอาจไม่ผ่าน ความจริงเป็นปัญหาว่า ไม่ผ่านเพราะประเด็นเดียวจะถูกต้องหรือไม่ หากผ่อนโอนประเด็นนี้ไม่คำนึงถึงหลักการ แม้ว่าอาจมีโอกาสมากขึ้นที่รัฐธรรมนูญจะผ่าน แต่ไม่แน่ เพราะอาจมีการหารือที่นำไปสู่การไม่ผ่านได้

“แม้จะผ่อนปรน หากไม่ยืนยันในหลักการของกมธ. ผ่านพิจารณาไป 15 วันผ่านไปได้ ทำรัฐธรรมนูญใหม่ สุดท้ายกลับมาที่รัฐสภาหากผ่อนปรนใช้กติกา มีเสียง 1ใน3 รัฐธรรมนูญที่ทำแบบให้ประชาชนมีส่วนร่วม อาจไม่ผ่านรัฐสภา ไปไม่ถึงประชามติ เป้าหมายของเราคือต้องการให้ผ่านตอนโน้น ไม่ใช่เป้าหมายในอีก 15 วัน” นายจาตุรนต์ อภิปราย

นายจาตุรนต์ อภิปรายต่อว่า เงื่อนไขเสียงสว. เห็นชอบ 1ใน3 ตามมาตรา 256 กำหนดเป็นการแก้ไขรายมาตรา ทั้งนี้ไม่ใช่ สว. 67 คน คือตัวกำหนดแก้รัฐธรรมนูญ เพราะแท้จริงคือ หากมีคนรวมสว.ได้ 134 เสียงได้จะกำหนดทิศทางของรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่สส. 500 คน ถือว่าเป็นวิปริต ทั้งนี้สิ่งที่แก้ไข คือเมื่อทำรัฐธรรมนูญขอกำหนดกติกาอีกแบบ ด้วยเหตุผลที่ไม่ควรให้ คน 134 คนตัดสินยุติ ซึ่งไม่ใช่เสียงข้างมากลากไป แต่เสียงน้อยมากๆ ลากไป ดังนั้นกมธ.ขอยืนยัน เพื่อยืนยันเป้าหมายต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญทำได้สำเร็จ เพื่อให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของประชาชนให้ประเทศพ้นความล้าหลัง

ขณะที่นายพริษฐ์  วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ฐานะกมธ.เสียงข้างมาก อภิปรายว่า ขอโอกาสครั้งสุดท้ายเพื่อโน้มน้าวสมาชิกรัฐสภาที่อาจเห็นด้วยกับกมธ.เสียงข้างน้อย ทั้งนี้ร่างมาตราดังกล่าวไม่มีส่วนใดตัดอำนาจของสว. เพราะเป็นการออกแบบหลักเกณฑ์ขึ้นมาใหม่หลังทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วเสร็จก่อนการนำไปออกเสียงประชามติ ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่เคารพหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงเท่าเทียมกัน ทั้ง สส. และสว. ฐานะสมาชิกรัฐสภา

นายพริษฐ์ อภิปรายต่อว่าส่วนกรณีที่มีข้อกังวลว่าหากไม่บัญญัติเกณฑ์สว.เห็นชอบ 1ใน3 จะทำให้ตัดการตรวจสอบถ่วงดุลการแก้รัฐธรรมนูญ แม้สส. และสว.มีหน้าที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหนือกว่านั้นคือ ประชาชน ดังนั้น มติของรัฐสภาไม่ใช่จะทำให้ได้รัฐธรรมนูญใหม่บังคับใช้ แต่ต้องให้ประชาชนลงประชามติ ถึง 3 ครั้ง ดังนั้นสิ่งที่เปรียบว่าสส.เป็นคันเร่ง สว. เป็นเบรก อย่าลืมว่าเจ้าของคือประชาชน ดังนั้นควรให้ประชาชนตัดสินใจ

“ผมเชื่อว่าหากเดินหน้าตามที่กมธ.เสียงข้างมากกำหนด คนตัดสินว่าร่างรัฐธรรมนูญตอบโจทย์ประเทศหรือไม่ คือเสียงประชาชนที่วิเศษกว่าเสียง สส. และสว.คนใด ขอเชิญชวนสมาชิกยืนตามกมธ.เสียงข้างมาก” นายพริษฐ์ ชี้แจง

ทั้งนี้ ได้มีการลงมติ พบว่ามีผู้ลงมติ 606 คน มติเสียงข้างมาก 312 เสียง เห็นด้วยกับกมธ.เสียงข้างน้อยที่เพิ่มเกณฑ์สว.เห็นชอบ 1ใน3  ต่อเสียง 290 เสียงที่สนับสนุนการแก้ไขของกมธ.เสียงข้างมาก และมีผู้งดออกเสียง 6 เสียง

ทำให้นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ลุกขึ้นขอใช้สิทธิให้นับคะแนนใหม่ทันที เพราะคะแนนห่างกันไม่ถึง 30 เสียง ทำให้ต้องมีการลงคะแนนใหม่ ด้วยการขานชื่อ