ปี 69 บทพิสูจน์ 'กกต.' ลบข้อครหา 'สีน้ำเงิน' กลางศึกเลือกตั้ง

ปี 69 บทพิสูจน์ 'กกต.'  ลบข้อครหา 'สีน้ำเงิน' กลางศึกเลือกตั้ง

ต้องจับตาบทบาทของ กกต.จะสามารถจัดการเลือกตั้ง จัดทำประชามติ ได้โดยไร้ข้อกังขาหรือไม่ เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้พ้นจากข้อครหา “กกต.สีน้ำเงิน” 

KEY

POINTS

  • กกต. จะเผชิญบทพิสูจน์ครั้งสำคัญในปี 2569 กับภารกิจจัดการเลือกตั้ง สส. ทั่วไป และการจัดทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ
  • กระบวนการสรรหา กกต. ชุดใหม่ถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นกลาง โดยเฉพาะ 2 ว่าที่ กกต. ที่ถูกครหาว่าเป็น "สายตรงสีน้ำเงิน" ซึ่งต้องผ่านการรับรองจาก สว. ที่กำลังมีปัญหาเรื่องการฮั้วเลือกตั้ง
  • มีความกังวลว่าปัญหาการสรรหา กกต. อาจถูกใช้เป็นเงื่อนไขเพื่อล้มการเลือกตั้ง สส. และอาจนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล

 ปี 2569 บทบาทขององค์กรอิสระที่จะถูกจับตามากเป็นพิเศษ หนีไม่พ้นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เนื่องจากมีภารกิจหลักจัดการเลือกตั้ง สส. ในช่วงต้นปี ภายหลังนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศจะยุบสภาภายใน 31 ม.ค. 2569

แม้ไทม์ไลน์วันเลือกตั้งอาจจะขยับเร็วขึ้น เพราะ “อนุทิน” ต้องการตัดเกมไม่ให้พรรคเพื่อไทยยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ มาตรา 151 แบบลงมติ แต่คำนวณแล้ววันกาบัตรจะอยู่ในช่วงเดือน ก.พ. - มี.ค. 2569 ค่อนข้างแน่นอน

ขณะเดียวกัน “กกต.” ยังต้องทำหน้าที่จัดให้มีการลงคะแนนเสียง “ประชามติแก้รัฐธรรมนูญ 2560 หรือไม่ โดยมีเงื่อนไขว่าการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ จะต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาในทุกขั้นตอนเสียก่อน

ภารกิจจัดการเลือกตั้ง สส.-จัดทำประชามติ รวมถึงการจัดเลือกตั้ง อบต. 76 จังหวัด จะเป็นพิสูจน์การทำงานของ “7 เสือ กกต.” หากสามารถสรรหาแทนบุคคลที่ครบวาระได้ทุกตำแหน่ง

อย่างไรก็ตาม องค์กรที่เข้ามาสรรหา กกต. คือ “สว.” ซึ่งมีข้อครหาปม “ฮั้ว สว.” ซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการสอบสวน “ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง” หากมีการยื่นสำนวนฟ้องร้องต่อศาล ก็จะเข้าสู่กระบวนการดำเนินคดี

เมื่อ “สว.” เข้ามาเลือก “กกต.” ไปทำหน้าที่จัดการเลือกตั้ง ทำให้มีแรงต้านจาก “ขั้วตรงข้าม” ประกอบด้วย สว.พันธุ์ใหม่ สว.สำรอง “สมชาย เเสวงการ อดีต สว. สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกกต. รวมถึงแนวต้านกลุ่มอื่น

ว่ากันว่ามี “บางขั้ว” แอบลุ้นล้มการสรรหา กกต. โดยอ้างปม “ฮั้ว สว.” มาเลือกกกต.เป็นเงื่อนไขพิเศษ เพื่อเปิดทางให้ล้มการเลือกตั้ง สส. และฝันไกลถึงจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล

โดยเฉพาะกรณีของ กกต.ในขณะนี้ สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ 5 คนแล้ว ประกอบด้วย ชาย นครชัย สิทธิโชติ อินทรวิเศษ และ ณรงค์ กลั่นวารินทร์ ได้รับการโปรดเกล้าฯดำรงตำแหน่งประธาน กกต. ณรงค์ รักร้อย อนันต์ สุวรรณรัตน์ โดย 2 คนหลัง เพิ่งได้รับการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่ง กกต. เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ซึ่งสองคนหลังนี้ เข้ามาเเทนอิทธิพร บุญประคอง อดีตประธาน กกต. เเละสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์

ส่วนอีก 2 คน ผ่านด่านกรรมการสรรหา ซึ่งมีประธานศาลฎีกาเป็นประธานการสรรหามาแล้ว ประกอบด้วย จิรุตม์ วิศาลจิตร อดีตอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และมณฑล สุดประเสริฐ อดีตอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ทั้งคู่จะเข้ามาแทน เลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ และฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ ที่เพิ่งพ้นวาระไปเมื่อ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา

ทั้ง “จิรุตม์ -มณฑล” อยู่ระหว่างรอการตรวจสอบประวัติ และการลงมติของ สว. ในช่วงเปิดสมัยประชุมรัฐสภา โดยจะมีวาระการพิจารณาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ขณะที่ทั้งคู่โดนแรงต้านสูงมาก เนื่องจากถูกครหาเป็น“สายตรงสีน้ำเงิน”

ทั้งนี้ การสรรหาตามกฎหมายกกต. มาตรา 18 ระบุว่า การประชุมคณะกรรมการ กกต. ต้องมี กกต.อย่างน้อย 5 คน หากไม่ครบจำนวนกลไกการประชุม เพื่อบริหารจัดการเลือกตั้งไม่สมบูรณ์ และทุกอย่างต้องชะงักจนกว่าจะมี กกต.จะครบ 5 คน 

ว่ากันว่า มีแนวคิดจาก “บิ๊กเนม” อาจจะงัดข้อกฎหมายมาดำเนินการกับ “แนวต้าน” เกี่ยวกับการให้ข้อมูลข่าวสารเเบบไม่ครบถ้วนในข้อกฎหมาย (พ.ร.ป.กกต.มาตรา 12 วรรค 9 ) ซึ่งอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายและขัดจริยธรรม จึงต้องรอจับตาความเคลื่อนไหวดังกล่าว

ขณะเดียวกัน ศึกใน “กรรมการ กกต.” ก็น่าจับตาเช่นกัน เพราะมีกกต.1 คน ครบวาระ และพยายามต่ออายุให้ตัวเอง โดยอ้างดีลลับโหวตเลือก “ประธาน กกต.” เพื่อต่อรองให้ “สว.” โหวตคว่ำ “หนึ่งในบุคคลที่ผ่านการสรรหา” ปมดังกล่าวกำลังพูดกันหนาหูในสำนักงาน กกต.

อีกกระแส ระบุว่า กกต.รายที่ครบวาระ ต้องการอยู่ในตำแหน่งอีกสักระยะ เพื่อการันตีให้ “องค์กรอิสระแห่งหนึ่ง” ตีตกคดีของตัวเอง

หลังจากนี้ ต้องจับตาบทบาทของ กกต.จะสามารถจัดการเลือกตั้ง จัดทำประชามติ ได้โดยไร้ข้อกังขาหรือไม่ เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้พ้นจากข้อครหา “กกต.สีน้ำเงิน”