ศึกรอบ 2 แนวชายแดน 'ไทย-กัมพูชา' 'ไทม์ไลน์' การเมืองขยับ ?

ศึกรอบ 2 แนวชายแดน 'ไทย-กัมพูชา' 'ไทม์ไลน์' การเมืองขยับ ?

ต้องจับตาทั้งปฏิบัติการทางทหาร และปฏิบัติการทางการเมือง โดยมี “นายกฯอนุทิน” เป็นตัวแสดงหลักของ “เครือข่ายอนุรักษ์” ซึ่งต้องรักษาฐานที่มั่นภายในประเทศเอาไว้ให้ได้เช่นกัน

KEY

POINTS

  • การปะทุของความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชารอบใหม่ ส่งผลโดยตรงต่อไทม์ไลน์ทางการเมือง โดยเฉพาะกำหนดการยุบสภาของรัฐบาล
  • สถานการณ์การสู้รบอาจทำให้รัฐบาลนายกฯ อนุทินต้องเลื่อนการยุบสภาออกไป เพื่อให้มีอำนาจเต็มในการบริหารจัดการภาวะสงคราม
  • รัฐบาลอาจใช้สถานการณ์ความขัดแย้งและกระแสชาตินิยมเพื่อสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองกลับคืนมา หลังจากสูญเสียความนิยมจากปัญหาน้ำท่วม

ศึกไทย-กัมพูชา กลับมาปะทุรอบ 2 เปิดแนวรบกราดยิงอาวุธสงครามเข้าใส่กันตลอดแนวชายแดน ทำให้ประชาชนใน 7 จังหวัด ประกอบด้วย อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด ต้องอพยพออกจากพื้นที่

เมื่อเข้าสู่ภาวะสงคราม ย่อมส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะไทม์ไลน์ “ยุบสภา” ของ “นายกฯหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล

ที่สำคัญ การรบกับ “กัมพูชา” จำเป็นอย่างยิ่งที่ “รัฐบาลอนุทิน” ต้องมีอำนาจเต็มในการศึก เพราะหาก“ยุบสภา”ระหว่างรบ การสั่งการตามขอบเขตอำนาจรัฐบาล อาจกลายเป็นปัญหา

จากเดิมมีกระแสข่าวว่า นายกฯอนุทิน อาจยุบสภาก่อนการเปิดประชุมสภาสมัยสามัญในวันที่ 12 ธ.ค.2568 เพราะไม่ต้องการเปิดช่องให้ “พรรคเพื่อไทย” ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ มาตรา 151 แบบลงมติ เนื่องจากผลกระทบจากเหตุการณ์ “น้ำท่วมหาดใหญ่” ทำให้รัฐบาลเสียแต้มการเมือง จนต้องยื้อเวลา“ยุบสภา”ไปเสียก่อน

ขณะเดียวกัน “พรรคเพื่อไทย” ซึ่งคาดการณ์ จะเดินเกมเร็วยื่นซักฟอกทันที แต่ก็เกรงว่าจะโดนโจมตี มีข้อครหาเล่นเกมการเมือง โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชน จึงส่งสัญญาณยื่นซักฟอกหลังการโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระสาม โดยประเมินว่า จะอยู่ระหว่างวันที่ 26-27 ธ.ค.

ภายหลังพรรคเพื่อไทยมีความชัดเจนว่า จะยื่นญัตติซักฟอกในห้วงเวลาดังกล่าว จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ “อนุทิน”จะยุบสภาก่อนวันที่ 26-27 ธ.ค. เพราะไม่ต้องการพาตัวเองเข้าไปอยู่ในจุดสุ่มเสี่ยงที่จะโดนโหวตคว่ำกลางสภา เนื่องจากจำนวนเสียงของ “ขั้วรัฐบาล” มีน้อยกว่า “ขั้วฝ่ายค้าน” หาก “พรรคประชาชน” เลิกค้ำ อาจส่งผลเสียในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา อาจทำให้ไทม์ไลน์ “ยุบสภา” อาจจะต้องเลื่อนออกไปอีกครั้งเช่นกัน    หากสถานการณ์สู้รบยืดเยื้อ ซึ่งรอบ 2 นี้ มีแนวโน้มกินเวลายาวนานกว่ารอบแรก ซึ่งใช้เวลาเพียง 7 วัน ก่อนที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ามากดดันให้มีการเจรจาหยุดยิง

เนื่องจาก ศึกรอบ 2 กลไกของ “คนกลาง” ที่จะเข้ามาแทรกแซง อาจทำได้ยากขึ้น เพราะ “รัฐบาลอนุทิน” มีความแตกต่างกับ “รัฐบาลแพทองธาร” ที่ความสัมพันธ์กับ “กองทัพ-บิ๊กทหาร” แนบแน่นกว่า ที่สำคัญเลือดอนุรักษนิยมเข้มข้นกว่ามาก

“อนุทิน” ส่งสัญญาณชัดเจน โดยระบุว่า “คงไม่เจรจาแล้ว ถ้าเขาดำเนินการกับเราถึงขนาดนี้ และเราก็ได้ตอบโต้ให้เขาเห็น เที่ยวนี้น่าจะชัดเจนแล้วว่า การตอบโต้ของเรา ไม่ใช่การตอบโต้เพื่อส่งสัญญาณใดๆ แต่เป็นการตอบโต้ให้เขาเห็นว่า เขาไม่ควรเข้ามาคุกคามอธิปไตยของประเทศไทย ดังนั้นการเจรจาก็จะไม่มีแล้ว จากนี้ไป ถ้ากัมพูชาจะหยุดสู้รบกัน ก็ต้องทำตามสิ่งที่ประเทศไทยกำหนด”

ว่ากันว่า “อนุทิน” รับปาก “บิ๊กกองทัพ” จะไม่มีคำสั่ง “หยุดยิง” และพร้อมสนับสนุน “กองทัพ” ในทุกปฏิบัติการ 

แน่นอนว่า ปฏิบัติการถล่ม “กัมพูชา” บทบาทโดดเด่นจะอยู่ที่ “กองทัพ” ซึ่งจะส่งผลด้านบวกต่อ “อนุทิน” ไปด้วย เพราะความสัมพันธ์แนบแน่นกันมานาน โดยจะแตกต่างจาก “รัฐบาลแพทองธาร” ที่ทุกปฏิบัติการมักจะไม่สอดคล้องกัน ทำให้แรงต้านของ“รัฐบาลค่ายแดง” มีสูง

ฝั่ง “รัฐบาลค่ายน้ำเงิน” รู้ดีว่า “กระแสรักชาติ” จากศึกสู้รบ ไทย-กัมพูชา เข้มข้น และเป็นวงกว้าง หากบริหารจัดการสถานการณ์ได้ดี มีโอกาสที่จะดึงแต้มจากกระแสดังกล่าว เทคะแนนให้กับ “พรรคภูมิใจไทย” ได้เช่นกัน

ประจวบกับในช่วงที่ผ่านมา “รัฐบาลอนุทิน” สูญเสียความนิยมจากเหตุการณ์ “น้ำท่วมหาดใหญ่” ทำให้ความนิยมทางการเมืองในพื้นที่ภาคใต้ลดฮวบ หากต้องการกู้กระแสกลับมา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิงหลัง “กองทัพ”

ดังนั้น ปมขัดแย้ง ไทย-กัมพูชา จึงเป็นโจทย์ใหญ่ โจทย์หลักที่รัฐบาลอนุทินต้องบริหารความขัดแย้งภายนอก และบริหารความนิยมภายในประเทศ เพื่อต่อยอดไปสู่การเลือกตั้ง ตามสูตร 4 เดือน ต่อยอด 4 ปี

หลังจากนี้ จึงต้องจับตาทั้งปฏิบัติการทางทหาร และปฏิบัติการทางการเมือง โดยมี “นายกฯอนุทิน” เป็นตัวแสดงหลักของ “เครือข่ายอนุรักษ์” ซึ่งต้องรักษาฐานที่มั่นภายในประเทศเอาไว้ให้ได้เช่นกัน