ตำรวจ แค่ปฏิรูปไม่พอ! | Now and Beyond

ตำรวจไทยเป็นข่าวฉาวรายวัน ตั้งแต่การพัวพันผลประโยชน์ผิดกฎหมายของตำรวจชั้นผู้ใหญ่และแก๊ง การวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่ง การออกมาแฉกันเอง การแสดงละครตบตาประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า
รวมถึงการปฏิญาณตนว่าไม่ใช่องค์กรอาชญากรรม เหล่านี้สร้างความขมขื่นและอิดหนาระอาใจให้กับประชาชน
ทำอย่างไรจะให้ตำรวจไทยที่เป็นต้นทางแห่งกระบวนการยุติธรรม เป็นที่ฝากความหวังของประชาชนได้ เป็นคำถามที่รอคำตอบมายาวนาน วันนี้ผู้คนเกิดอาการไม่เชื่อ และไม่กลัวตำรวจ ทั้งที่หัวใจและเกียรติยศของตำรวจนั้นอยู่ที่คำๆ เดียวคือ ความเชื่อมั่นจากสาธารณชน (Public Trust)
การปฏิรูปตำรวจพูดกันมากว่า 20 ปีประชาชนฟังกันจนเอือม ล่าสุดเมื่อปี 2557 หลัง คสช.ยึดอำนาจการปกครองก็ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อปฏิรูปตำรวจรวม 6 ชุด คณะกรรมการปฏิรูปคิดวนเวียนอยู่กับโครงสร้างหรือกระบวนการเดิมๆ 8 ปีผ่านไปจึงได้พระราชบัญญัติตำรวจปี 2565 มา 1 ฉบับ
แก้เรื่องเล็กเรื่องน้อยซึ่งไม่สร้างการเปลี่ยนแปลงใดๆ กลับทำให้ตำรวจฟอนเฟะมากขึ้นเป็นลำดับ การเมืองก็ยังครอบงำตำรวจมากขึ้นและยิ่งหนักไปกว่าเดิม
การปฏิรูปจึงไม่พออีกต่อไปสำหรับตำรวจไทย ต้อง “ทุบทิ้งสร้างใหม่” เท่านั้นจึงจะแก้ปัญหาที่หมักหมมมาชั่วนาตาปีได้ โครงสร้างของตำรวจที่ปัจจุบันรองรับตำรวจทั่วประเทศกว่า 200,000 นายต้องไม่เป็นเหมือนกองทัพของทหาร (ที่ทุกวันนี้ก็เต็มไปด้วยปัญหาไม่ต่างกัน)
เพราะตำรวจไม่เหมือนทหาร ตำรวจต้องทำงานกับพื้นที่ เข้าใจพื้นที่ และเข้าถึงประชาชนอย่างแท้จริง การรวมศูนย์อำนาจแบบทหาร ทำให้การทำงานง่อยเปลี้ยเสียขา และเป็นที่มาของปัญหามากมาย
อย่างแรกที่จะเสนอแนะคือ ยุบทิ้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ตำรวจไปขึ้นกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าเป็นผู้คัดเลือกและแต่งตั้งหัวหน้าตำรวจในแต่ละจังหวัด เป็นตำรวจของจังหวัดที่เข้าใจพื้นที่ ทุกวันนี้การโยกย้ายสลับตำแหน่งสั่งจากส่วนกลาง เปิดโอกาสให้เกิดการซื้อขายตำแหน่ง และทำให้ได้ตำรวจที่ไม่คุ้นเคยกับพื้นที่และประชาชน
บางคนไปลงในพื้นที่ที่ไม่อยากไป วันๆ จึงคิดหาทางวิ่งเต้นโยกย้าย โครงสร้างของตำรวจต้องกระจายอำนาจออกไป เพราะในขณะที่ประเทศเติบโต เกิดการพัฒนาในหลายๆ พื้นที่ ชนบทกลายเป็นเมือง เกิดปัญหาและสภาพการอยู่อาศัยที่แตกต่างกันมากมาย รูปแบบการบังคับบัญชาตำรวจแบบเดิมจึงไร้ประสิทธิภาพอย่างสิ้นเชิง
ตำรวจต้องมาจากท้องถิ่น ต้องไม่มีการย้ายข้ามจังหวัด เลิกการย้ายไปช่วยราชการเมื่อทำความผิดเพราะเหมือนเอาตำรวจเลวไปให้จังหวัดอื่น การย้ายไปจังหวัดไกลปืนเที่ยงแล้วทำเรื่องขอยืมตัวมาช่วยราชการต้องเลิก เรื่องเหล่านี้คนไทยเอียนเต็มที และต้องมีระบบการประเมินผลและการลงโทษที่เข้มงวด เพื่อป้องการตำรวจเลือกปฏิบัติเพราะเห็นแก่พวกพ้องหรือคนที่รู้จักกันในพื้นที่
อย่างที่สอง ปรับโครงสร้างหน่วยงานของตำรวจแต่ละจังหวัด ให้ประกอบไปด้วยหน่วยสืบสวน หน่วยลาดตระเวนระงับเหตุ หน่วยจราจร หน่วยปราบปรามอาชญากรรม/ยาเสพติด หน่วยชุมชนสัมพันธ์ หน่วยบริหารภายใน เท่านี้พอ เพื่อไม่ให้หน่วยงานใหญ่โตอุ้ยอ้ายเกินไป
มีการแชร์ข้อมูลบุคคลและข่าวกรองกับส่วนกลางด้วยระบบสารสนเทศกลาง การแบ่งหน่วยงานไม่จำเป็นต้องเหมือนกันในแต่ละจังหวัด ขึ้นอยู่กับขนาด สภาพ ความหนาแน่นของพื้นที่ อัตราการเกิดอาชญากรรม ฯลฯ จังหวัดชายแดน จังหวัดท่องเที่ยว จังหวัดเกษตร จังหวัดอุตสาหกรรม ไม่จำเป็นต้องมีโครงสร้างตำรวจที่เหมือนกัน ขอให้จัดให้ตอบโจทย์พื้นที่มากที่สุด
อย่างที่สาม เลิกระบบการมียศ แต่ละคนมีตำแหน่งแต่ไม่ต้องมียศ การเลื่อนขั้นดูจากผลงานและอายุงาน เช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับ 1, 2, 3… ไปจนระดับอาวุโสโดยไม่ต้องมีชั้นยศ สร้างสำนึกของความเป็นตำรวจมืออาชีพไม่ใช่ตำรวจที่มียศตำแหน่งสายสะพาย จะได้เลิกระบบวิ่งเต้นเพื่อจะแสวงหายศกันเสียที
และอย่างที่สี่ ให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับการประเมินผลงานของตำรวจ มีความเข้มข้นในการให้คุณให้โทษ ทำแบบจริงจัง ไม่ลูบหน้าปะจมูก ตำรวจจะได้ดูแลท้องถิ่นอย่างจริงจังไม่ใช่ฟังแต่นายจากส่วนกลาง
ทั้งหมดที่ว่ามาต้องอาศัยความกล้าหาญอย่างยิ่งจากรัฐบาล หัวหน้ารัฐบาลในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (กตร.) จะกล้าหาญพอหรือไม่ที่จะทุบทิ้งแล้วสร้างตำรวจไทยขึ้นใหม่ การสร้างใหม่ไม่ได้หมายความว่าจะแก้ปัญหาทุกเรื่องได้ในทันที
แต่การกล้าทุบหรือโล๊ะของเดิมทิ้งแล้วค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปซึ่งอาจจะใช้เวลา 5-10 ปีกว่าระบบใหม่จะทำงานได้เต็มที่ ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยจมปลักอยู่กับของเดิมทั้งที่รู้แล้วว่ามันไปไม่ได้มีแต่จะสร้างปัญหา
คนไทยไม่อาจฝันจะได้ตำรวจดีๆ มีประสิทธิภาพ อย่าง NYPD ของนิวยอร์ก Scotland Yard ของอังกฤษ ตำรวจโตเกียวหรือตำรวจสิงคโปร์ ขอแต่เพียงอย่าต้องหวาดผวาตำรวจแบบที่ไม่ต่างอะไรกับที่ต้องหวาดผวาโจรผู้ร้ายก็เห็นจะพอ แต่เชื่อเถิดว่าฝันนี้ของคนไทยคงจะเป็นแค่ฝันกลางวัน และคนไทยจะตกอยู่ในทุกขเวทนาจากตำรวจกันต่อไปตราบใดที่ไม่มีผู้มีอำนาจคนไหนกล้าหาญอย่างแท้จริง







