'เท้ง' เตือนนายกฯอย่าตกหลุม 'ฮุน เซน' ใช้การทูตนำ การทหารไว้ท้าย

'เท้ง' เตือนนายกฯอย่าตกหลุม 'ฮุน เซน' ใช้การทูตนำ การทหารไว้ท้าย

'ณัฐพงษ์' เตือน 'อนุทิน' อย่าตกหลุมพราง 'ฮุน เซน' รบแนวเดียว ไม่จบปัญหา ต้องใช้การทูต-ปราบปรามสแกมเมอร์ ส่วนการทหาร ต้องใช้เป็นวิธีสุดท้าย

KEY

POINTS

  • ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เตือนนายกรัฐมนตรีว่าการปะทะชายแดนอาจเป็นกับดักของฮุน เซน เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาเครือข่ายสแกมเมอร์ และสร้างภาพให้ไทยเป็นฝ่ายรุกราน
  • เสนอให้รัฐบาลใช้การทูตและความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นแนวทางหลักในการกดดันกัมพูชากลับสู่โต๊ะเจรจา โดยให้ใช้กำลังทหารเป็นทางเลือกสุดท้ายเพื่อการป้องกันตนเองเท่านั้น
  • ชี้ว่าต้นตอที่แท้จริงของความขัดแย้งคือขบวนการสแกมเมอร์ที่สนับสนุนระบอบฮุน เซน ดังนั้นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนคือการมุ่งปราบปรามขบวนการดังกล่าวอย่างจริงจัง

เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2568 ที่อาคารอนาคตใหม่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) แถลงข่าวกรณีสถานการณ์ไทย-กัมพูชา โดยกล่าวว่า สถานการณ์การปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชาดำเนินต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ 3 ตนติดตามสถานการณ์ด้วยความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชน 6 จังหวัดที่ต้องอพยพแล้วกว่า 100,000 คน โรงเรียนและโรงพยาบาลจำนวนมากต้องปิดทำการ และต้องขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของทหารอย่างน้อย 3 นาย ที่เสียชีวิตระหว่างการปะทะ และขอส่งกำลังใจให้ทหารอีกจำนวนมากที่ได้รับบาดเจ็บ

หัวหน้าพรรค ปชน.ยืนยันว่า ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนและชีวิตของทหารไทย ไม่ควรต้องมาสูญเสียกับสงครามที่หลีกเลี่ยงได้นี้เลย เช่นเดียวกับชีวิตของพลเรือน 17 รายและทหาร 18 นายที่เสียชีวิตจากการสู้รบในระลอกแรกเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนนับแสน คนแก่ เด็กเล็ก ไม่ควรต้องได้รับผลกระทบจากการต้องอพยพ ทิ้งวัวควาย ไร่นา บ้านเรือน หากรัฐบาลจัดการเด็ดขาดต่อปัญหาที่เป็นหัวใจของเรื่องนี้ นั่นคือขบวนการสแกมเมอร์ซึ่งหล่อเลี้ยงระบอบฮุน เซน

วันนี้เสียงเรียกร้องจากประชาชนคือต้องการจบปัญหาอย่างถาวร แต่ Endgame ฉากจบที่เรามองเห็น ตรงกันหรือไม่ การรบเพื่อชิงประเทศ รบให้จบเบ็ดเสร็จ เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติในยุคปัจจุบัน เพราะจะเกิดความสูญเสียมหาศาลต่อทหารฝั่งเราเอง และประเทศไทยจะถูกโจมตีจากนานาชาติในฐานะผู้รุกราน การจบปัญหาที่เป็นจริง จึงหมายถึงการคืนชีวิตปกติกลับสู่พี่น้องประชาชน ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงภัยสงคราม การทำมาค้าขายเป็นไปอย่างปกติสุขตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชา

'เท้ง' เตือนนายกฯอย่าตกหลุม 'ฮุน เซน' ใช้การทูตนำ การทหารไว้ท้าย

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำพูดของรองแม่ทัพภาค 2 พลตรีณัฏฐ์ ศรีอินทร์ ที่ว่าไม่มีการรบใดไม่จบด้วยการเจรจา โจทย์ของเราในวันนี้ เพื่อนำไปสู่ฉากจบด้วยการเจรจา จึงมีดังนี้

(1) การใช้กำลังทางการทหารเพื่อดูแลปกป้องอธิปไตย ต้องเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ กฎการใช้กำลัง และการตอบโต้อย่างได้สัดส่วน เพื่อหยุดยั้งการคุกคามของกัมพูชา 

(2) การดำเนินการทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง ไม่ปฏิบัติการเกินหลักสากลจนประเทศไทยเพลี่ยงพล้ำไปตกหลุมพรางฮุน เซน ว่าเราเป็นฝ่ายรุกราน 

(3) ใช้การทูตกดดันกัมพูชากลับเข้าสู่การเจรจา โดยร่วมมือกับนานาชาติ ใช้กลไกระหว่างประเทศให้เกิดประโยชน์กับไทยมากที่สุด โดยใช้เรื่องสแกมเมอร์เป็นธงนำ ดึงความร่วมมือจากชาติมหาอำนาจและทุกประเทศทั่วโลกในการอยู่ข้างประเทศไทย ชนะระบอบฮุนเซนด้วยการปราบปรามสแกมเมอร์และการฟอกเงิน

นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ตั้งข้อสังเกตว่าจุดเริ่มต้นของปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา รวมถึงสาเหตุการปะทะครั้งที่แล้วและครั้งนี้ ล้วนเกิดจากสาเหตุเดียวกัน คือความพยายามในการปกป้องเครือข่ายสแกมเมอร์ที่หล่อเลี้ยงระบอบฮุน เซน การปะทะครั้งล่าสุดก็เกิดขึ้นหลังจากการอายัดทรัพย์เบน สมิธ ยิม เลียก ก๊ก อาน เฉินจื้อ ที่ปรึกษาคนสนิทของฮุน เซน ที่ดูแลอาณาจักรกาสิโนและสแกมเมอร์ทั้งในกัมพูชาและต่างประเทศ

'เท้ง' เตือนนายกฯอย่าตกหลุม 'ฮุน เซน' ใช้การทูตนำ การทหารไว้ท้าย

ด้วยเหตุนี้ จึงขอให้รัฐบาลพิจารณาให้ดีว่าการปะทะกันครั้งนี้ เป็นเพียงแผนการเบี่ยงประเด็นของฮุน เซนหรือไม่ และเหตุที่รัฐบาลทุ่มเทกับการสู้รบอย่างเต็มที่ กำลังกลายเป็นการเดินตามแผนการของฮุน  เซน ที่ต้องการพลิกสถานการณ์จากที่โลกกำลังล้อมกัมพูชาด้วยประเด็นสแกมเมอร์ เป็นให้โลกมาล้อมไทยด้วยข้อหารุกรานประเทศที่อ่อนแอกว่าหรือไม่

นายณัฐพงษ์ กล่าวด้วยว่า หากรัฐบาลต้องการคะแนนนิยม การไปตามกระแสชาตินิยม รบให้สุดซอยก็ตอบโจทย์นั้น แต่หากเรามีเป้าหมายร่วมกันว่าต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อไปให้ถึงสันติภาพและความมั่นคงที่ถาวรและยั่งยืน เพื่อปกป้องประชาชนไทยตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชา และเพื่อปกป้องชีวิตและขาของทหารทุกนายไม่ให้ต้องสูญเสียไปจากการรบที่ถูกปลุกปั่นโดยเป้าประสงค์ทางการเมืองของฮุน เซน วิธีออกจากปัญหานี้ย่อมไม่ใช่เพียงการใช้ปฏิบัติการทางทหาร แต่คือการใช้ทั้ง 3 แนวรบที่ตนได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้ และจะขออธิบายเพิ่มเติมอีกครั้งในวันนี้

(1) แนวรบทางการทหาร ตนยืนยันว่าการใช้กำลังทหารต้องเป็นวิธีการสุดท้าย (last resort) เมื่อเครื่องมืออื่นๆ ถูกใช้ไปจนหมดแล้วไม่ได้ผล และหากมีเหตุให้เกิดขึ้น ต้องดำเนินไปภายใต้กฎกติกาสากลและแนวปฏิบัติที่เป็นที่ยอมรับระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องไทยไม่ให้ตกอยู่ในฐานะผู้รุกราน รังแกประเทศที่อ่อนแอกว่า ซึ่งเป็นประเด็นที่กัมพูชาใช้โจมตีไทยมาโดยตลอด

จากสถานการณ์ขณะนี้ ซึ่งกัมพูชาใช้อาวุธหนักโจมตีตอบโต้ไทย รัฐบาลควรตัดสินใจทางการทหารโดยยึดหลักป้องกันตนเองและตอบโต้อย่างได้สัดส่วน เพื่อให้เป็นไปตามหลักสากลว่าเราใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อจัดการภัยคุกคามเฉพาะหน้า ไม่ใช่เพื่อรุกราน ตนขอให้รัฐบาลคำนึงถึงการจำกัดขอบเขตการรบ กฎการตอบโต้อย่างได้สัดส่วนเหมาะสม โดยมุ่งเน้นการลดระดับความตึงเครียดทางการทหาร (de-escalation) ผ่านการใช้แนวรบที่ 2 คือแนวการทูตควบคู่กับการทหาร

(2) แนวรบด้านข่าวสารและการทูต ท่าทีของนายกรัฐมนตรีเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศไทย นั่นคือการบอกว่าไม่มีการเจรจาสันติภาพอีกต่อไป เพราะแม้แต่รองแม่ทัพภาค 2 ยังเคยยืนยันว่าไม่มีการรบใดไม่จบลงที่โต๊ะเจรจา ในทางกลับกัน การรบเป็นส่วนหนึ่งของการกดดันให้กัมพูชาซึ่งไม่ให้ความร่วมมือ ฝ่าฝืนข้อตกลง ยอมกลับมาร่วมการเจรจาและทำตามข้อตกลงสันติภาพที่ได้มีการลงนามกันไว้แล้ว แต่อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กลับเป็นฝ่ายปฏิเสธการเจรจา ซึ่งทำให้ไทยกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เป็นผู้กระทำผิดในสายตาประชาคมโลก ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือระบอบฮุนเซน

ในขณะที่การรบดำเนินอยู่ รัฐบาลต้องตระหนักว่าเป้าหมายของการรบคือการป้องกันตนเองและบังคับให้กัมพูชากลับมาทำตามข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ โดยครั้งนี้ต้องมีการปรับการทำงานของ AOT หรือ ASEAN Observer Team ให้ทำงานได้อย่างเต็มที่และมีความหมาย เป็นคนกลางที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการฝ่าฝืนข้อตกลงสันติภาพที่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันการกลับมาปะทะกันซ้ำอีกในอนาคต นอกจากนี้ รัฐบาลยังควรเดินหน้ากดดันกัมพูชาในเวที Ottava Convention เช่นที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เพิ่งดำเนินการไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

(3) แนวรบปราบสแกมเมอร์ รัฐบาลต้องเปิดแนวรบโลกล้อมกัมพูชาด้วยการปราบสแกมเมอร์ โดยเดินหน้าสุดซอยในการขุดรากถอนโคนขบวนการสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นหัวใจของระบอบฮุน เซน กระทรวงการต่างประเทศต้องดำเนินแผนการประสานความร่วมมือกับแต่ละประเทศในการจัดการสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก โดยใช้การประชุมนานาชาติว่าด้วยการปราบปรามสแกมเมอร์ที่จะมีขึ้นในวันที่ 17-18 ธันวาคมนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผลักดันบทบาทไทยให้เป็นเจ้าภาพหลักในเรื่องนี้ และประสานความร่วมมือกับนานาชาติให้ได้ ดังที่พรรคประชาชนและภาคประชาสังคมได้นำเสนอแนวทางเรื่องนี้ในช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนี้ รัฐบาลยังต้องสั่งการให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เดินหน้าอายัดทรัพย์บุคคลไทยที่เกี่ยวข้องกับขบวนการสแกมเมอร์ ไม่ใช่ตัดตอนแค่ชาวต่างชาติอย่างเบน สมิธ เฉินจื้อ ก๊ก อาน และยิม เลียก หากรัฐบาลไม่จริงจังในเรื่องนี้ การให้กระทรวงการต่างประเทศประสานความร่วมมือกับนานาชาติในฐานะเจ้าภาพ ก็จะกลายเป็นเพียงปาหี่ตบตาชาวโลก ประเทศไทยจะกลายเป็นตัวตลกในสายตานานาชาติ  .หัวหน้าพรรคประชาชนกล่าวว่า การยึดหลักการเช่นนี้ ไม่เพียงจะนำไปสู่การจบปัญหาในระยะยาว แต่ยังจะทำให้ไทยไม่เสียเปรียบในเวทีโลก สามารถตอบโต้ฮุน เซน ได้อย่างเหนือกว่าทั้งในระดับแนวรบการทหาร การข่าว การทูต และสุดท้าย ตนย้ำว่ารัฐบาลไทยต้องตั้งหลักให้มั่นว่าแนวรบที่สำคัญในตอนนี้คือการทูตควบคู่การทหาร มุ่งเป้ากดดันกัมพูชากลับสู่การเจรจา โดยใช้การปราบสแกมเมอร์เป็นหัวใจในการดำเนินการ

“หยุดเดินอ้อม ต้องพุ่งตรงเข้าสู่แกนกลางของปัญหา คือการเดินหน้าจัดการสแกมเมอร์สุดซอย เราจะต้องพลิกวิกฤตการณ์ครั้งนี้เป็นโอกาสในการกวาดล้างกลุ่มชนชั้นนำที่หากินบนความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน หยุดการสร้างสงครามเพื่อกลบเกลื่อนอาชญากรรมที่ตัวเองก่อ ใช้เลือดเนื้อชีวิตของทหารและประชาชนเป็นตัวประกัน” นายณัฐพงษ์ กล่าว