พิษ ‘ทุนเทา’ เกมเสี่ยง ‘รัฐบาลน้ำเงิน’ จับตาดีลลับ ซักฟอกไม่ลงมติ

พิษ ‘ทุนเทา’ เกมเสี่ยง ‘รัฐบาลน้ำเงิน’ จับตาดีลลับ ซักฟอกไม่ลงมติ

การเปิดโปงภาพถ่าย "เบน สมิธ" ร่วมกับนักการเมืองและบุคคลสำคัญหลายวงการ ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และเสถียรภาพของ "รัฐบาลสีน้ำเงิน"

KEY

POINTS

  • ปปง. สั่งยึดอายัดทรัพย์สินเครือข่าย "ทุนเทา" ของ "เบน สมิธ" ที่พัวพันขบวนการสแกมเมอร์และฟอกเงิน ซึ่งมีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงมายังประเทศไทย
  • การเปิดโปงภาพถ่าย "เบน สมิธ" ร่วมกับนักการเมืองและบุคคลสำคัญหลายวงการ ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และเสถียรภาพของ "รัฐบาลสีน้ำเงิน"
  • เกิดกระแสข่าวว่าอาจมี "ดีลลับ" เพื่อให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติในสภา ซึ่งเป็นการลดแรงกดดันทางการเมืองต่อรัฐบาลจากกรณีดังกล่าว

ชื่อของ “เบน สมิธ” หรือ “เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์” นักธุรกิจ 2 สัญชาติ แอฟริกาใต้-กัมพูชา กลับมาได้รับความสนใจอย่างล้นหลามอีกครั้ง จากทุกองคาพยพในสังคม พลันที่ปรากฏ “ภาพหลุด” ร่วมเฟรมกับ “บิ๊กเนมนักเลือกตั้ง-บิ๊กเหล่าทัพ-ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่” จากหลายแวดวงในหลายงานทั้งหลักสูตรคอนเนกชัน-งานแต่งงาน เมื่อหลายปีก่อน

“ทอม ไรต์” นักข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนชาวสหรัฐฯ ดีกรีเจ้าของรางวัล “พูลิตเซอร์” เปิดโปงถึงขบวนการ “ทุนเทา-สแกมเมอร์” ในกัมพูชา-อาเซียน มายาวนานหลายเดือน โดยระบุชื่อของ “เบน สมิธ” เป็นหนึ่งใน “คีย์แมนสำคัญ” ของขบวนการดังกล่าว ในการยักย้ายถ่ายเท หรือโยกย้ายทรัพย์สินต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่กระบวนการฟอกเงิน ซึ่งเชื่อมโยงกับอีก 2 ผู้ถูกกล่าวหาหลักคือ “ยิม เลียก” และ “ก๊ก อาน” 2 ผู้มีอิทธิพลทางธุรกิจในกัมพูชา

เบื้องต้นกรณีนี้ ไม่ค่อยได้รับการตอบรับมากนัก เนื่องจากมีสื่อบางสำนักเท่านั้นที่นำมาขยายผลและเปิดโปงต่อเนื่อง ต่อมา “รังสิมันต์ โรม” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) นำไปอภิปรายในวันแถลงนโยบายของ “รัฐบาลสีน้ำเงิน” โดยยกข้อมูลของ “ทอม ไรต์” พยายามอธิบายเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับ “ผู้กองคนดัง” และ “เครือข่ายชินวัตร”

แต่เรื่องนี้มาพีคถึงขีดสุดเมื่อ คณะกรรมการธุรกรรม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มีคำสั่งยึด-อายัดทรัพย์สินร่วมหมื่นล้านบาท ของ 4 ผู้ถูกกล่าวหา ที่เกี่ยวข้องพัวพันกับขบวนการสแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีเส้นทางเงินโยงไปถึง “เบน สมิธ-ก๊ก อาน-ยิม เลียก” มีทั้งทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ เงินสดในบัญชี หรือแม้แต่หุ้นของกลุ่มทุนบางกลุ่ม ซึ่งนำไปใช้ในการซื้อหุ้น “บางจาก” ในไทยด้วย

ไม่ใช่แค่ “เครือข่ายชินวัตร-ผู้กองคนดัง” เท่านั้นที่ปรากฏภาพเคยร่วมเฟรมกับ “เบน สมิธ-ยิม เลียก” แต่ยังมีภาพของ “นายกฯหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง อุปกิต ปาจรียางกูร อดีต สว. “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงศ์ อดีต ผบ.ทบ. ล่าสุด คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) เป็นต้น อย่างไรก็ดีบุคคลที่เคยร่วมเฟรมดังกล่าว ออกมาปฏิเสธความสัมพันธ์กับ “เบน สมิธ-ยิม เลียก” ยอมรับว่ารู้จักแค่ผิวเผิน และเจอกันในงานหลักสูตรคอนเนกชันต่าง ๆ เท่านั้น

ยังไม่มีข้อเท็จจริงยืนยันว่า “ใคร” คือคน “ปล่อยภาพ” ดังกล่าว บางสายว่าเป็น “เครือข่ายสีแดง” อีกทางหนึ่งบ้างว่าเป็น “เครือข่ายผู้กอง” เพื่อหวังผลชิงแต้มทางการเมือง แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ข้อเท็จจริงคือการออกมาเปิดโปงภาพถ่ายร่วมเฟรม “เครือข่ายสแกมเมอร์” โยงกับ “บิ๊กเนม” ในไทย ทำให้หลายคนตั้งคำถามถึงเสถียรภาพของรัฐบาล และความเอาจริงเอาจังในการปราบปรามขบวนการเหล่านี้

เนื่องจากบุคคลที่เคยร่วมเฟรม “เบน สมิธ-ยิม เลียก” และเครือข่ายดังกล่าว มีทั้งนักการเมือง-บิ๊กเนมข้าราชการ-นักธุรกิจ หลายคนพัวพันกับเรื่องนี้ เรียกได้ว่าแทบจะทุกสายในสังคมไทย เหลือแค่ “ก๊กส้ม” ที่ ณ ขณะนี้ (7 ธ.ค.) ยังไม่มีใครไปปรากฏภาพร่วมเฟรมดังกล่าว

ทว่าเรื่องที่ต้องดำเนินการ มิใช่การตัดสินแค่ “ภาพถ่าย” เท่านั้น สิ่งสำคัญคือการตรวจสอบ “เส้นทางการเงิน” ของ “เบน สมิธ-เครือข่าย” ว่ามีความเชื่อมโยงกับใครบ้าง หลังจากนั้นค่อยขยายผลการ “อายัดทรัพย์สิน” เพิ่มเติม ซึ่งเรื่องนี้หากโฟกัสเฉพาะ ปปง.ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการตรวจสอบเรื่องนี้ มีการออกประกาศ ปปง.เพิ่มตำแหน่งต่าง ๆ ให้มีสถานภาพทางการเมือง เพื่อเปิดทางให้ ปปง.เข้าไปตรวจสอบเส้นทางการเงินได้

โดยมีตั้งแต่ตำแหน่งนายกฯ รองนายกฯ รัฐมนตรี ประธานสภาฯล่าง-สูง ประธานศาล-ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด (อสส.) ผบ.เหล่าทัพ ไม่เว้นแม้แต่หัวหน้าพรรคการเมือง และกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคการเมือง ยังครอบคลุมไปถึงประมุขแห่งรัฐ หรือรัฐบาล รัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ระดับสูงของต่างประเทศ สามารถถูกตรวจสอบได้ด้วย

กรณีนี้ถูกองค์การต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ออกแถลงการณ์เรียกร้องมาตั้งแต่เดือน เม.ย. 2568 ที่ผ่านมา โดยนายมานะ นิมิตรมงคล ประธาน ACT เปิดเผยว่า แนวทางหนึ่งในการป้องกันปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่มีประสิทธิผล ได้แก่ การใช้มาตรการทางกฏหมาย ล่าสุด เฉพาะกฎหมายฟอกเงินยังติดขัดเรื่องมาตรการ PEP (Politically Exposed Persons) ในประเด็นการนิยาม “บุคคลที่มีสถานภาพทางการเมือง” ที่จะบังคับใช้กับคนที่เป็นนักการเมือง เจ้าหน้าที่ระดับสูง ศาล องค์กรอิสระ ทหาร ตำรวจ ฯลฯ ทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย

ประเด็นสำคัญมาตรการดังกล่าวเคยใช้ไปตั้งแต่ปี 2556 แต่กลับมีการ “ยกเลิก” เมื่อปี 2563 ก่อนที่ ปปง.จะฟื้นมาตรการดังกล่าวให้กลับมาอีกครั้งในวันนี้ โดยประกาศ ปปง.ดังกล่าว ระบุสารพัดตำแหน่งไว้ รวมถึงบุคคลที่พ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่เกิน 1 ปี แม้บุคคลดังกล่าวจะพ้นจากตำแหน่งเกิน 1 ปีแล้วก็ตาม หากบุคคลนั้นยังคงมีอิทธิพลหรือความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบุคคลที่มีสถานภาพทางการเมืองในปัจจุบัน หรือมีบทบาทในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายสำคัญ ให้ถือว่าบุคคลนั้นยังคงมีสถานภาพทางการเมืองต่อไปจนกว่าสถาบันการเงินหรือผู้ประกอบอาชีพจะพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่มีความเสี่ยงอาจเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน

เรียกว่ามาตรการนี้สกัดปิดช่องโหว่กันเต็มขั้น อย่างไรก็ดีในสมรภูมิ “การเมือง 3 ก๊ก” ปัจจุบัน มี 2 ฝ่ายซึ่งกำลังเพลี่ยงพล้ำกับเรื่องนี้คือ “แดง-น้ำเงิน” เพราะปรากฏภาพร่วมเฟรมกับ “เบน สมิธ” ส่งผลให้ “ก๊กส้ม” ซึ่งถือเป็นฝ่ายการเมืองแรก ๆ ที่หยิบยกข่าวสืบสวนของ “ทอม ไรต์” มาตีแผ่ กำลังได้รับแต้มคะแนนเสียงไปเต็ม ๆ และจะมีนัยสำคัญต่อการเลือกตั้งครั้งถัดไป

เนื่องจาก 2 ปรากฏการณ์สำคัญในช่วงท้ายปี 2568 คือ “วิกฤติน้ำท่วมภาคใต้-เครือข่ายเบน สมิธ” ส่งผลเสียหายหนักมากต่อภาพลักษณ์ของ “รัฐบาลสีน้ำเงิน” ไปเต็ม ๆ ส่วน “ก๊กแดง” ก็ยังคงบอบช้ำหนัก ไม่ฟื้นตัวจากปมคลิปเสียงสนทนา “ฮุน เซน” และกรณี “ทักษิณ ชินวัตร” ศาสดาค่ายแดงต้องติดคุกในเรือนจำ

น่าจับตา “รัฐบาลสีน้ำเงิน” อาจ “ยื้อยุบสภาฯ” จากเดิมกำหนดไว้ช่วงเดือน ธ.ค.นี้ ทอดยาวออกไปจนถึงตามไทม์ไลน์เดิมคือ ม.ค. 2569 โดยมีเสียงเล่าอ้างว่ามีการ “ดีลลับหลังม่าน” เพื่อขอให้ยื่นซักฟอกแบบไม่ลงมติ โดยเสียงเล่าอ้างนั้น ถูกตอกย้ำให้หนักแน่นขึ้น เมื่อ “พริษฐ์ วัชรสินธุ” โฆษกพรรค ปชน. ให้สัมภาษณ์เมื่อ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา เผยไต๋ว่า จะมีการใช้กลไกสภาฯ “ตรวจสอบเข้มข้น” แต่ไม่ยืนยันว่าจะเป็นการ ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ “แบบลงมติ” หรือไม่

แต่สิ่งที่ต้องติดตามคู่ขนานกันไปนอกเหนือจากเรื่องทางการเมือง คือการตรวจสอบเส้นทางเงินของ ปปง.ว่าจะเอาจริงเอาจังขนาดไหน ถ้าหากขุดคุ้ยไปจน “เจอตอ” จะกล้าดำเนินการยึด-อายัดทรัพย์สินไว้หรือไม่ ต้องรอดูกันต่ออีกยาว ๆ