อดีตเลขา สมช. จี้ 'อนุทิน' เปิดข้อมูลขอสัญชาติ ‘เบน สมิธ’ เคลียร์ปมโยง นายกฯ 

อดีตเลขา สมช. จี้ 'อนุทิน' เปิดข้อมูลขอสัญชาติ ‘เบน สมิธ’  เคลียร์ปมโยง นายกฯ 

"อดีตเลขา สมช." จี้ อนุทิน เร่งออกหมายจับ ‘เบน สมิธ’ เปิดข้อมูลพิจารณาสัญชาติ เคลียร์ข้อกังขาความเชื่อมโยงถึงนายกฯ 

พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ประธานยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง พรรคไทยสร้างไทย แสดงความคิดเห็นต่อกระแสสังคมที่ตั้งข้อสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างนายกรัฐมนตรี กับนายเบน สมิธ หลังมีภาพปรากฏร่วมกับผู้มีอิทธิพลหลายคนในไทย รวมถึงนายอนุทิน ชาญวีรกุล แม้หลายฝ่ายจะออกมาปฏิเสธว่ารู้จักกันเพียงผิวเผิน แต่กระแสสังคมยังคงเคลือบแคลงใจ และเรียกร้องความชัดเจนจากฝ่ายบริหาร

พล.ท.ภราดรระบุว่า จากคำชี้แจงของนายอนุทินที่กล่าวว่าเคยพบกับนายเบนเพียงไม่กี่ครั้ง และปฏิเสธการทำธุรกิจร่วมกัน รวมถึงการอ้างว่าเคยถูกย้ายจากกระทรวงมหาดไทยเพราะไม่ยอมอนุมัติสัญชาติไทยให้นายเบน สมิธ ทำให้เรื่องนี้จำเป็นต้องคลี่คลายอย่างเร่งด่วน โดยเชื่อว่านายอนุทิน ไม่น่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับนายเบน แต่ฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี น่าจะมีข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้ข้อสงสัยต่างๆ กระจ่างขึ้นได้

เพื่อให้รัฐบาลหลุดพ้นจากข้อครหาว่าเกี่ยวพันกับนายเบน สมิธ พล.ท.ภราดรเสนอว่าควรดำเนินการอย่างเร่งด่วน 2 ประการดังนี้ 

1. เร่งออกหมายจับนายเบน สมิธ ซึ่งเป็นบุคคลเดียวที่ยังไม่มีหมายจับจากทางการไทย พร้อมทั้งตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างละเอียด หากพบการกระทำผิดกฎหมาย ต้องเร่งดำเนินคดี อายัดทรัพย์ และจัดการผู้เกี่ยวข้องทุกระดับโดยไม่ละเว้น

2. เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาออกสัญชาติไทยให้แก่นายเบน สมิธ โดยเฉพาะการตรวจสอบว่าใครเป็นผู้สั่งการให้นายอนุทินในขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทย เพื่อแสดงความโปร่งใส และคลายข้อสงสัยว่ามีผู้มีอิทธิพลทางการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่

พล.ท.ภราดร มองว่าการเปิดเผยข้อมูลและการดำเนินการอย่างเด็ดขาดของนายกรัฐมนตรี จะช่วยให้การปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ และเครือข่ายผู้สนับสนุนเป็นไปอย่างจริงจัง ลดพื้นที่ให้กลุ่มอิทธิพลที่ยังคงได้รับประโยชน์จากช่องโหว่ของระบบ พร้อมทั้งเร่งดำเนินการอายัดทรัพย์สินของนายเบนที่ยังหลงเหลืออยู่จำนวนมาก

พล.ท.ภราดร ย้ำว่าประเทศต้องการผู้นำที่กล้าตัดสินใจและจริงใจต่อประชาชน การจัดการปัญหานี้อย่างรวดเร็วและโปร่งใสจะเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นความเชื่อมั่นและแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลในการต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติและเครือข่ายผู้มีอิทธิพลในประเทศ