เกมฝ่ายค้าน 2 ไทม์ไลน์ซักฟอก ‘แดง-ส้ม-น้ำเงิน’ วิกฤติน้ำจุดพลิก

ศึกการเมือง 3 ก๊ก ก่อนนับถอยหลังยุบสภาฯ เดิมพัน‘แดง-ส้ม-น้ำเงิน’ ภายใต้บริบทวิกฤติน้ำจุดพลิกผันทางการเมือง ขณะที่กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีโอกาสสูงส่อแท้ง
KEY
POINTS
- พรรคเพื่อไทยกำลังประเมิน 2 ช่วงเวลาในการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ อนุทิน มีโอกาสยื่นก่อนและหลังการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3
- ญัตติซักฟอกจะเชื่อมโยงกับไทม์ไลน์การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้ายื่นญัตติก่อนโหวตวาระที่ 3 นายกฯ อนุทินจะชิงยุบสภาทันที ซึ่งจะทำให้ร่างรัฐธรรมนูญตกไป
- เกมการเมืองของ "แดง-ส้ม-น้ำเงิน" แต่ละฝ่ายพร้อมกล่าวหาอีกฝ่ายเป็นต้นเหตุให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องแท้งหรือตกไป
- วิกฤตอุทกภัยในภาคใต้ จะเป็นประเด็นสำคัญที่ฝ่ายค้านจะใช้เป็นจุดพลิกโอกาสดิสเครดิตแต้มนิยมของรัฐบาล พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่า "พรรคประชาชน" ไม่ทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลอนุทินอย่างเต็มที่
ปัจจัยห้วงจังหวะการยุบสภาฯ ของ “นายกฯ หนู” อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ห้วงเวลานี้ คงขึ้นอยู่กับการที่พรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะ “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ หรือไม่ในช่วงเปิดประชุมรัฐสภา สมัยสามัญประจำปีที่ 2 ครั้งที่ 2 วันที่ 12 ธ.ค. 2568
ขณะเดียวกันรัฐสภาก็เปิดประชุมวิสามัญ เพื่อรองรับการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวาระที่ 2 ระหว่างวันที่ 10-11 ธ.ค.นี้ ซึ่งไทม์ไลน์ หากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ สูตรที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มี “ณัฐวุฒิ บัวประทุม” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นประธาน ได้ปรับแก้ไขเนื้อหาองค์กรจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่ ให้มีกมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน มาจากการเลือกของสมาชิกรัฐสภา เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จใน 360 วัน
รวมทั้งปรับสภาที่ปรึกษายกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นกมธ.รับฟังความคิดเห็นและการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน
สำหรับการเลือก กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ และ กมธ.รับฟังความคิดเห็น ซึ่งกำหนดให้รัฐสภาเป็นผู้เลือกนั้นกำหนดเวลาให้รัฐสภา ทำให้เสร็จภายใน 60 วัน โดยใช้สูตร 20 หยิบ 1
โดยให้สมาชิกรัฐสภารวมกลุ่มๆ ละ 20 คนตามหลักเกณฑ์ที่ประธานรัฐสภากำหนด เพื่อเสนอกมธ.ร่างรัฐธรรรมนูญ และ กมธ.รับฟังความคิดเห็น ได้กมธ.ละ 1 คน จนครบจำนวน จากนั้นให้ประกาศรายชื่อในราชกิจจานุเบกษา
เรื่องร้อนว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากขั้นตอนผ่านวาระ 2 ก็จะไปสู่การพิจารณาในวาระที่ 3 ซึ่งจำเป็นต้องรอกำหนดเวลาใน 15 วันตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญถึงจะพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้
ล่าสุดมีความเห็นของ “วิทยา แก้วภราดัย” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรวมสร้างชาติ (รสทช.) ในปีกของ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรค รทสช. ได้ออกมาคัดค้านเนื้อหาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะมีเนื้อหาไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับของประชาชน และเห็นควรให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราแทน
ขณะที่ “พรรคเพื่อไทย” โดย “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” สส.เชียงใหม่ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย มองว่ารัฐบาลควรสร้างหลักประกันด้วยการทำประชามติก่อน 1 คำถามในช่วงการเลือกตั้งว่า เห็นสมควรให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
ความพยายามของ “พรรคเพื่อไทย” ต้องการเสนอแนวทางเพื่อรองรับในกรณีแผนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สูตร กมธ. 20 หยิบ 1 นั้นไม่สามารถเดินไปถึงขั้นตอนการผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้ในวาระที่ 3
ไทม์ไลน์ที่เร็วที่สุดในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 หากกรณีที่ประชุมรัฐสภา ผ่านวาระที่ 2 เห็นชอบทุกมาตราในวันที่ 11 ธ.ค. 2568
กรอบเวลาที่เร็วที่สุดของพิจารณาในวาระที่3 จะอยู่ที่เงื่อนไขตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. 2568 เป็นต้นไป
นั่นจึงทำให้มีความเห็นแตกต่างภายในพรรคเพื่อไทยออกมาทั้งฝ่ายที่เห็นว่าควรชิงยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจได้แล้วในวันที่ 12 ธ.ค. 2568
เพราะปลายทางคีย์แมนพรรคเพื่อไทยหลายคนเห็นตรงกันว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 ไม่ผ่านความเห็นชอบของสมาชิกรัฐสภาแน่นอน เพราะ สว.อาศัยเสียงเพียง 1 ใน 3 ทั้งงดออกเสียงหรือไม่เห็นชอบด้วยก็จะทำให้ร่างรัฐธรรมนูญแท้งอีกครั้งกลางที่ประชุมรัฐสภา
อีกทั้ง พรรคเพื่อไทย เคยมีบทเรียนเมื่อปลายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่สามารถผลักดันร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับให้มี สภาร่างรัฐธรรมนูญได้ เพราะถูกโหวตคว่ำลงในวาระที่ 3
คีย์แมนพรรคเพื่อไทย จึงมองเกมครั้งนี้ของการทำดีล MOA ระหว่างสองพรรคคือ พรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน เป็นเพียงกระบวนการพิธีกรรมจัดฉากสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองเท่านั้นก่อนนำไปสู่การยุบสภาฯ เลือกตั้งใหญ่
ขณะที่ความเห็นอีกซีกในพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ “ประยุทธ์ ศิริพานิชย์” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เห็นว่าเงื่อนเวลาการยื่นญัตติซักฟอกนายกฯ ควรเป็นช่วงหลังปีใหม่ในต้นปี 2569 หลังที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นในวาระที่ 3 เพื่อเป็นการป้องกันข้อครหาเตะถ่วงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แน่นอนว่า กลเกมการยื่นซักฟอกนายกฯ อนุทิน ทางพรรคประชาชนวางเกมรอให้พิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นก่อน ทำให้มีการหารือกับพรรคเพื่อไทยว่าให้รอกระบวนการตรงนี้เสร็จสิ้นก่อนถึงค่อยยื่นดาบซักฟอก
แต่ในทางลึกบรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทย มองว่าไม่จำเป็นต้องรอให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นในวาระที่ 3 ก็ได้ เพราะบทบาทของฝ่ายค้านในรัฐสภา จำเป็นต้องทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหาร โดยอาศัยเหตุการณ์ที่ไม่สามารถปล่อยปละให้รัฐบาลบริหารประเทศต่อไปได้ หากกรณีมีความผิดบกพร่องทุจริตหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เกิดขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งก่อให้เกิดวิกฤตอุทกภัยใหญ่ในภาคใต้ โดยเฉพาะ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
แน่นอนว่า พรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องหยิบวาระร้อนขึ้นเพื่อมาดิสเครดิตพรรคร่วมรัฐบาลโดยตรง แม้จะอ่านเกมแล้วว่าคงไม่สามารถเปิดสภาฯได้ เพราะ “อนุทิน” เตรียมชิงยุบสภาได้ทุกเมื่อจนถึง 31 ม.ค. 2569
อย่างไรก็ตาม ด้วยบริบทและเกมการแก้ไขรัฐธรรมนููญในปัจจุบัน ยังคงเป็นการยื้ดยุด สร้างกระแสเรตติ้งกันในพรรคการเมือง สามก๊กใหญ่ ระหว่าง แดง-น้ำเงิน-ส้ม
ขณะที่ “เพื่อไทย” ก็จะโหมกระแสถล่ม “อนุทิน” ที่หลีกหนีกระบวนการตรวจสอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และทำให้ “ร่างรัฐธรรมนูญ” ที่กำลังแก้ไขอยู่เวลานี้ต้องแท้งลงหรือตกไปก่อนวาระที่ 3 เพราะเหตุจากการยุบสภา และยังมองว่าพรรคส้มไม่เต็มใจตรวจสอบรัฐบาล
ส่วน “ภูมิใจไทย” นั้นได้เปรียบในแง่ถือกลไกอำนาจรัฐและสรรพกำลังในระหว่างเลือกตั้งเป็นทุนเดิม
กลเกมที่เกิดขึ้นเวลานี้ “ฝ่ายน้ำเงิน” จึงถูกทั้ง “ส้ม”ขี่ และ “แดง” กดแต้มในภาวะที่ “รัฐบาลอนุทิน” กำลังสาหัสจากมหาอุทกภัยและในห้วงปลายรัฐบาลที่มี “ภูมิใจไทย” เป็นแกนนำ มี “กล้าธรรม” เป็นเพื่อนร่วมตายในสนามเลือกตั้ง







