'สุรเดช' เผย คุมพื้นที่ภาคเหนือ สู้ศึกเลือกตั้ง ยัน พปชร. พรรคแก่ประสบการณ์

"สุรเดช" เผยได้รับมอบหมายจาก "ลุงป้อม"ดูแลพื้นที่ภาคเหนือรับเลือกตั้ง เร่งหาผู้สมัครเกรด A ยัน พปชร. พรรคแก่ประสบการณ์
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2568 นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังได้รับมอบหมายให้ดูแลพื้นที่ ภาคเหนือ ว่า ตนได้รับมอบหมายจาก พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้ดูแลภาคเหนือทั้งหมด ทั้งภาคเหนือตอนบนและตอนล่าง
ภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัดประกอบด้วย
เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน รวม 34 เขต
ภาคเหนือตอนล่าง 7 จังหวัดประกอบด้วย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก ตาก กำแพงเพชร สุโขทัย พิจิตร เพชรบูรณ์ รวม 28 เขต
ซึ่งรวมภาคเหนือทั้งหมด 62 เขต ที่ตนจะต้องดูแลทั้งหมด โดยตนในฐานะที่เป็นรองประธานคณะกรรมการสรรหาของพรรคอยู่แล้ว ก็ได้เตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง ที่จะมาถึงในเวลาอันใกล้นี้แล้ว โดยได้เร่งคัดสรรผู้สมัครในแต่ละเขต ซึ่งพยายามหาผู้สมัครที่มีศักยภาพสูงสุด คือต้องพยายามหาผู้สมัครเกรด A แต่ถ้าไม่ได้เกรด A จริงๆก็ต้องเป็น A- และตนจะลงไปช่วยในทุกจังหวัดของภาคเหนือ ซึ่งขณะนี้ได้มีการคัดเลือกและได้เคาะไปบ้างแล้วประมาณ 30 กว่าคน
ผู้สื่อข่าวถามว่าผู้สมัครที่คัดสรรมาแล้ว เราจำเป็นจะต้องมีการทำโพลในพื้นที่อีกหรือไม่ นายสุรเดช กล่าวว่า เราทำโพล อยู่แล้ว และได้มีการพูดคุยกันแล้วว่าสุดท้ายแล้วเราต้องทำโพล ไม่ว่าใครจะคุยว่าตัวเองกว้างขวางแค่ไหน แต่สุดท้ายก็อยู่ที่โพล โดยโพลในพื้นที่จะไม่ใช้แค่โพลเดียว อย่างน้อยจะต้อง 2 โพลขึ้นไป เพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน ซึ่งเราต้องเอาโพลที่ใกล้เคียงที่สุด
เมื่อถามว่า นโยบายที่จะนำไปใช้ หาเสียงในพื้นที่ภาคเหนือ จะมีอะไรบ้าง นายสุรเดช กล่าวว่า ความจริงนโยบายของพรรคเราจะมีการปรับปรุงอยู่ตลอด และเข้าถึงทุกวัย ทุกกลุ่มโดยจะเน้นนโยบาย แจกเบ็ด ไม่แจกปลา ไม่ใช่เป็นการเอาเงินไปแจก เพราะเมื่อเงินหมด ก็เท่ากับหมดไปเลย แต่ถ้าเป็นการแจกเบ็ด ก็จะเป็นการให้ประชาชนช่วยเหลือตัวเองหรืออีกนัยหนึ่งก็คือทำให้ประชาชนสามารถยืนบนลำแข้งของตัวเองให้ได้ เพราะเราต้องการช่วยเหลือประชาชนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยมีรูปแบบสนับสนุนในเรื่องการลงทุน มีเงินทุนเข้าไปช่วยในพื้นที่ชุมชนต่างๆ เพื่อเป็นการ พัฒนาชุมชนและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนไปด้วย ขณะเดียวกันก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ด้วย รวมถึง
ทำให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีสุขอนามัยที่ดี ทั้งนี้ยืนยันว่าทุกนโยบายที่ออกไปจะต้องมีเหตุ มีผลและให้คำตอบกับประชาชนได้ เป็นนโยบายที่จับต้องได้และปฏิบัติได้จริง ไม่ใช่นโยบายสร้างภาพ หรือ นโยบายประชานิยม ที่ทำจริงไม่ได้
นายสุรเดช กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าในพื้นที่ภาคเหนือมีการแข่งกันหลายพรรค และอาจจะมีเรื่องการแย่งตัวผู้สมัครกันด้วย แต่ตนคิดว่า พรรคพลังประชารัฐ มีภาษีดีกว่า ตรงที่พรรคเราเป็น พรรคเดียวที่มีผู้นำเป็นทหาร ซึ่งก็คือพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งท่านมีประสบการณ์มาก และเราทราบกันดีอยู่แล้วว่าที่ผ่านมาทหารมีบทบาทสำคัญมาก ทั้งในเรื่องการป้องกันประเทศ บริเวณชายแดน และการดูแลประชาชนโดยเฉพาะล่าสุดปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในภาคใต้ ทหารก็เข้าไปดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ เพราะมีอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆพร้อม
"พรรคพลังประชารัฐถือเป็นพรรคเดียวที่มีผู้นำเป็นทหารและเป็นพรรคที่มีปัญหาน้อยที่สุดในขณะนี้ เราเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมที่มีทั้งคนรุ่นใหม่ คนหนุ่ม สาว และรุ่นเก่าที่มีประสบการณ์ ซึ่งผสมผสานทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ คนรุ่นเก่าก็ถือเป็นคนรุ่นเก่าที่แก่ประสบการณ์ เป็นขิงแก่ที่มีคุณภาพ ซึ่งหลายประเทศก็มีผู้นำที่มีอายุมากซึ่งก็บริหารประเทศมาได้หลายปี ดังนั้นไม่เป็นปัญหาเลย"
เมื่อถามว่าในภาคเหนือขณะนี้มีปัญหาในเรื่องของสภาพอากาศเป็นพิษโดยเฉพาะขณะนี้ ฝุ่น PM 2.5 ก็เริ่มกลับมาอีกแล้ว พรรคพลังประชารัฐจะมีนโยบายที่จะสนับสนุนเรื่องของพรบ.อากาศสะอาด เพื่อ แก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ขณะนี้มีการเสนอไปที่สภาแล้วหรือไม่ นายสุรเดช กล่าวว่า เราสนับสนุนอยู่แล้วเรื่องของพรบ.อากาศสะอาด และตนได้ไปหาข้อมูลมาแล้วว่าทำอย่างไรที่จะแก้ปัญหาเรื่องของฝุ่น pm 2.5 ได้แบบถาวร โดยได้ไปพบเทคโนโลยีสมัยใหม่จากต่างประเทศ ที่น่าสนใจ คือจะเป็นลักษณะของหอคอย ฟอกอากาศขนาดใหญ่ ซึ่งในต่างประเทศได้มีการทดลองและนำมาใช้แล้ว ซึ่งสามารถฟอกอากาศได้ เปลี่ยนอากาศที่เป็นพิษเป็นอากาศสะอาดได้ จะมีระบบกรองอยู่ โดยตนตั้งใจจะนำเสนอเรื่องนี้กับพรรคเพื่อให้พิจารณา ทั้งนี้เราอาจนำเทคโนโลยีสมัยใหม่นี้มาดัดแปลงและผลิตเองก็ได้เพราะหากจะซื้อในต่างประเทศอย่างเดียวอาจจะใช้งบประมาณที่สูง







