‘โรม’ เผย ปปง.ลุยสอบ ‘เบน สมิธ’ แล้ว แต่ปม ‘ยิม เลียก’ ยังเงียบ

‘โรม’ อัปเดตคดี ‘ทุนเทา’ กัมพูชาโยงสแกมเมอร์ พบช่องโหว่ซื้อทองฟอกเงิน แก้ กม.ปปง.อายัดเชิงรุก ลุยสอบ ‘เบน สมิธ’ แล้ว
KEY
POINTS
- รังสิมันต์ โรม เปิดเผยว่า ปปง. ได้ตั้งสำนวนสอบสวนกรณีของนายเบน สมิธ แล้วตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย. และกำลังเริ่มตรวจสอบทรัพย์สินและธุรกรรม
- ในทางกลับกัน กรณีของนายยิม เลียก ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนใหญ่ ยังไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการจาก ปปง.
- กมธ.ความมั่นคงฯ จะติดตามความคืบหน้าของทั้งสองกรณีในการประชุมครั้งต่อไปอย่างใกล้ชิด
เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2568 นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กถึงการประชุม กมธ.ความมั่นคงฯ เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมา ว่า นอกจากเราจะพิจารณาเรื่องน้ำท่วมภาคใต้แล้ว กมธ.ได้ติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการกับกลุ่มทุนกัมพูชาที่เชื่อมโยงกับสแกมเมอร์และคอลเซนเตอร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่กมธ.ติดตามอย่างใกล้ชิดมาหลายสัปดาห์ โดยในสัปดาห์นี้มีความคืบหน้าดังนี้ครับ
1.ช่องโหว่ในการฟอกเงินผ่านการซื้อขายทองคำ
หากเป็นการซื้อขายทองคำระหว่างบุคคล ไม่ผ่านร้านทองหรือนิติบุคคล ปปง. จะไม่สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งช่องโหว่นี้ถูกนำมาใช้ในการฟอกเงินหลายกรณี ซึ่งข้อมูลนี้สอดคล้องกับสถิตินำเข้าทองคำไปยังกัมพูชาที่เพิ่มขึ้นสูงผิดปกติ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เบื้องต้นได้มีการประสานไปยังสมาคมผู้ค้าทอง ให้รายงานเส้นทางธุรกรรมต้องสงสัยแล้ว โดยกมธ.ได้มีข้อเสนอเพิ่มเติม ให้ผู้รับเงินต้องตรวจสอบที่มาของเงินก่อนตกลงซื้อขายด้วย
2.ข้อจำกัดในการดำเนินคดีฟอกเงินของปปง.
ที่ผ่านมาแนวทางการทำงานของปปง. จะตั้งต้นจากการมีผู้เสียหาย ฐานความผิดมูลฐาน แล้วจึงมาสู่คดีฟอกเงิน ดังนั้น ในกรณีของ Prince Groups ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความเคลื่อนไหวแต่ต้นมาจากต่างประเทศ ทำให้ ปปง. ลังเลที่จะทำการอายัดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบ ซึ่งการประชุมในวันนี้ ปปง.ได้ขอให้มีการแก้ไขกฎหมายให้ ปปง. มีอำนาจเชิงรุกแบบต่างประเทศในการอายัดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบได้เลยตั้งแต่พบความน่าสงสัย
3.HuiOne Pay จากการตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบว่ามีการทำความผิดที่ทำผ่าน HuiOne Pay แล้วราว 100 คดี ซึ่งตรงกับที่มีข้อสงสัยว่า HuiOne Pay เป็นช่องทางหลักในการฟอกเงินให้กับสแกมเมอร์ชาวจีนในกัมพูชา โดยมีเงินหมุนเวียนในระบบราว 24,000 ล้านบาท และมีการแปรสภาพเป็นเงินสดในไทยไปแล้ว 4,000 ล้านบาท ก่อนนำส่งต่อไปยังแก๊งค์สแกมเมอร์ในเมียวดี เมียนมา
สำหรับมาตรการรับมือเบื้องต้นในเรื่องการฟอกเงินผ่านทรัพย์สินดิจิตอล ได้มีการขอความร่วมมือไปยังผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างๆ ในการตรวจสอบกระเป๋าคริปโต ว่ามีเงินของผู้เสียหายชาวไทยหรือไม่ โดยหากเราสามารถนำเงินของผู้เสียหายที่ถูกฟอกเงินผ่านคริปโตได้ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการยึดทรัพย์ได้มากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมา สามารถทำได้เพียง 1%
ทั้งนี้ ตั้งแต่ที่มีการควบคุมชายแดน เครือข่ายสแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน ได้ใช้บริการโพยก้วน หรือร้านแลกเปลี่ยนเงินตราในการฟอกเงิน โดยการนำคริปโตที่ได้รับโอนมาจากแก๊งค์สแกมเมอร์มาแปรสภาพเป็นเงินสดในประเทศไทย
ดังนั้น กมธ.จึงคิดว่า รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณในการติดตั้งระบบในการตรวจสอบคริปโต ซึ่งเบื้องต้น เราทราบมาว่ามีค่าบริการประมาณ 2 ล้านบาท ต่อ 1 User ต่อปี ซึ่งหากนำมาใช้งานแล้วติดตามเส้นทางการเงินได้จริง ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก เมื่อเทียบกับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น
4.กรณีของเบน สมิธ และยิม เลียก โดยกรณี เบน สมิธ กมธ.ได้รับข้อมูลว่า ปปง.ได้ตั้งสำนวนแล้วตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา และกำลังเริ่มตรวจสอบทรัพย์สิน ธุรกรรม รวมถึงการอายัดทรัพย์สินได้ ซึ่งในการประชุมครั้งถัดไป เราจะติดตามว่าการดำเนินการมีความคืบหน้าหรือไม่ กรณี ยิม เลียก ยังคงไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ทั้งที่ นายยิม เลียก มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับ BIC Bank ที่ถูก Sanction โดยสหราชอาณาจักร จากความเชื่อมโยงไปยังนายเฉิง จื้อ เจ้าของ Prince Groups
ซึ่ง กมธ.ความมั่นคงฯ จะมีการพิจารณาครั้งถัดไป ในวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ซึ่งเราจะตามความคืบหน้าในการดำเนินการเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดครับ







