สว.สำรองปูด 'คดีฮั้ว' โดนฟันแค่ 8 คน หวั่นล้มกระบวนการยุติธรรม

สว.สำรอง จับพิรุธ 'คดีฮั้ว สว.' ส่อแววเอาผิดแค่ 8 คน ลั่นล้มคดีนี้เท่ากับล้มกระบวนการยุติธรรมของประเทศ จี้ กกต.ทบทวนตั้งประธาน กกต.คนใหม่ สยบข้อครหา
KEY
POINTS
- กลุ่ม สว. สำรอง ยื่นหนังสือถึง กกต. แสดงความกังวลว่ามีความพยายามจะดำเนินคดีเอาผิดผู้เกี่ยวข้องในคดีฮั้ว สว. เพียง 8 ราย
- ชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติหลายประการ เช่น กระบวนการสอบสวนที่ล่าช้า และมีการกลับคำให้การของพยาน
- ตั้งข้อสงสัยต่อกระบวนการเลือกประธาน กกต. คนใหม่ว่าอาจไม่ถูกต้องและส่งผลกระทบต่อการพิจารณาคดี ซึ่งอาจนำไปสู่การล้มกระบวนการยุติธรรม
เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2568 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กลุ่ม สว. สำรองนำโดยพล.ต.ท. คำรบ ปัญญาแก้ว เข้ายื่นหนังสือถึง กกต. เพื่อเรียกร้องหาความเป็นธรรม เกี่ยวกับ การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในคดีฮั้ว สว.
โดยนายอุทัย อัตถาพร กล่าวว่า วันนี้เรามาขอความยุติธรรมอีกครั้งหนึ่ง หลังจากเราเจอกับวิกฤตความยุติธรรมที่ผ่าน ๆ มา เพราะกระบวนการทำคดีฮั้ว สว. ยังดำเนินไปอย่างล่าช้า ต้องใช้เวลาเต็มแม็กของ กกต. ขณะนี้อยู่ในชั้นอนุกรรมการวินิจฉัย จะครบกรอบระยะเวลา ประมาณวันที่ 14-15 ธ.ค. 2568 แต่เราพบปรากฏการณ์ที่น่าเป็นห่วงอยู่ 3 เรื่อง คือ
1. มีกระบวนการกลับคำให้การของพยานบางคน ที่จังหวัดขอนแก่น เป็นเรื่องที่เคยคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว ดังนั้นจึงต้องจับตาต่อไป โดยก่อนหน้านี้ไม่มีการไปยื่น หนังสือถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้ว
2. เรื่องการแต่งตั้งประธานกกต.โดยว่าที่กกต. ชุดใหม่ 2 คนยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ซึ่งกรณีนี้ คณะสว.สำรองได้เดินทางไปที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อถามความชัดเจนในเรื่องนี้ว่า การปฏิบัติหน้าที่ของสำนักงานวุฒิสภาที่มีหนังสือมายังสำนักงานกกต. นั้นถูกต้องหรือไม่ ซึ่งมีประเด็นในข้อกฎหมายและข้อห่วงใยของนักวิชาการหลายคนด้วยกัน
3. เรื่อง การดำเนินคดีฮั้วสว.นั้นมีนัยยะสำคัญว่าจะมีการพยายามจัดการเพียงแค่ 8 รายเท่านั้น โดยที่ดีเอสไอ ไม่ได้ออกหมาย กล่าวหาทั้ง 136 คน
ส่วน พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า วันนี้เรามาพร้อมแบนเนอร์ใหม่ว่า "ล้มคดี สว.เท่ากับล้มกระบวนการยุติธรรมของแผ่นดิน" สืบเนื่องจากมีความพยายามของคนบางกลุ่ม ที่พยายามล้มกระบวนการตรวจสอบคดีฮั้ว สว.ครั้งนี้ เพราะจริง ๆ ปัจจุบันคดีน่าจะเสร็จสิ้นกระบวนความไปตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค 2568 แล้วเพราะครบ 1 ปี แต่ตอนนี้ก็ลากยาวมาจนถึง 14 เดือนเศษ
ที่ผ่านมาเราพยายามท้วงติงในหลาย ๆ โอกาสแต่ กกต. ก็ยังไม่นำพา ล่าสุดปรากฏว่า ที่มีการแต่งตั้งประธาน กกต.คนใหม่ โดยอ้างว่าสำนักงานเลขาวุฒิสภาแจ้งมาให้ดำเนินการตามมาตรา 12 วรรค 9 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง แต่มีนักวิชาการหลายคนวิพากษ์วิจารณ์ ผ่านสื่อต่าง ๆ ให้ข้อสังเกตว่าการเลือกประธาน กกต.นั้น แม้จะมาตรา 12 วรรค 9 ก็จริงแต่จะถือเป็นการข้ามขั้นตอนหรือไม่ โดยเฉพาะที่ระบุว่าให้ กกต.ที่ผ่านความเห็นชอบแล้วมาเลือกประธาน กกต ร่วมกับ กกต.ที่เหลืออยู่
ในขณะที่นายอิทธิพร บุญประคอง หมดวาระแล้วแต่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ทั้งประธาน กกต. และกรรมการ ตามมาตรา 15 จึงถือว่าการเลือกประธาน กกต.รอบนี้เป็นการข้ามขั้นตอนหรือไม่ เมื่อมีการทักท้วงมาเช่นนี้ทางคณะสว.สำรองจึงมีข้อสงสัยตามไปด้วย จึงได้ไปนำเรียนต่อเลขาวุฒิสภาเพื่อขอให้ทบทวน ขณะเดียวกันวันนี้ ก็มาที่กกต เพื่อยื่นหนังสือ ถึงคณะกรรมการกกต.ทุกๆ คนเพื่อทบทวนว่าสิ่งที่ท่านทำไปนั้น มันถูกมันต้องประการใดเพราะไม่อย่างนั้น ก็จะเป็นประเด็นที่ทำให้ หลายฝ่ายท้วงติงภายหลัง
"การเลือกประธาน กกต.ครั้งนี้อาจจะมีข้อสงสัยข้อเคลือบแคลงของหลายๆ ฝ่ายว่าเป็นมติที่อาจมาจากกลุ่มบุคคลบางกลุ่มหรือมีผู้บงการอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า ซึ่งหากเป็นประเด็นเช่นนั้นก็จะส่งผลถึงการพิจารณาคดีฮั้วสว.อย่างชัดเจน ขณะเดียวกันภารกิจใหญ่ของกกต. คือการเลือกตั้งใหญ่ในปีหน้า จะเป็นเรื่องใหญ่ จะส่งผลต่อบ้านเมืองอย่างชัดเจน ดังนั้นก็ต้องทำเรื่องนี้ให้ถูกต้องอย่าทำให้กลายเป็นข้อท้วงติง" พล.ต.ท.คำรบ กล่าว
พล.ต.ท.คำรบ กล่าวด้วยว่า ขอให้ กกต.ตอบคำถามเรื่องนี้ด้วยรวมถึงตอบคำถาม เรื่องที่คณะสว. สำรองมายื่นครั้งที่แล้ว เพื่อขอให้ดำเนินการตรวจสอบเอาผิดผู้กลับคำให้การและผู้ที่ เข้าไปเกี่ยวข้องกับพยานทำให้เกิดการกลับคำให้การด้วย







