เกมสามเส้า ‘พท.-ปชน.-ภท.’ เขย่า‘สภา’ล้มกระดาน‘แก้รธน.’

3เส้าการเมือง ที่ไม่ลงตัวบนกระดานอำนาจ "พท.-ปชน." ต้องการพิสูจน์บทบาทตรวจสอบ พ่วง แก้รธน. ส่วน "ภท." ต้องการแรงค้ำจากสภา เพื่อไปต่อ ทว่าการต่อรองขอเสียงนั้น "ยาก"
KEY
POINTS
- การแก้ไขรัฐธรรมนูญกำลังเผชิญความขัดแย้งทางการเมืองแบบสามเส้าระหว่างพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย ซึ่งอาจทำให้กระบวนการทั้งหมดล้มเหลว
- พรรคเพื่อไทยคัดค้านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผลักดันโดยพรรคประชาชนและภูมิใจไทย โดยชี้ว่ากระบวนการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขาดการมีส่วนร่วมจากประชาชนอย่างแท้จริง
- "แดง" ส่งสัญญาณอาจใช้เกมการเมืองกดดันให้มีการยุบสภา เพื่อล้มกระดานข้อตกลงในการแก้ไขรัฐธรรมนูญของ "ส้ม-น้ำเงิน"
- ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญยังต้องเผชิญด่านสำคัญในวาระที่สาม ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจาก สว. ครบ 1 ใน 3 ตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
การแก้ไขเพิ่มเติม “รัฐธรรมนูญ” 2560 ที่รัฐสภารับหลักการ ให้แก้ไขในมาตรา 256 และ เพิ่มหมวดใหม่ ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญ ในชั้นของ “กรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม” รัฐสภา ที่มี “ณัฐวุฒิ บัวประทุม” สส.พรรคประชาชนเป็นประธาน ได้เสร็จสิ้นแล้ว
โดยวานนี้ เป็นการประชุมนัดสุดท้าย เพื่อพิจารณาเนื้อหาที่รอการพิจารณา ซึ่งมีประมาณ 10 มาตรา ซึ่งใช้เวลาประชุมตั้งแต่เช้า ถึงเย็นย่ำ เนื่องจากต้องรอองค์ประชุมกมธ. มาให้ครบจำนวนเพื่อลงมติชี้วัด
สำหรับรายละเอียดนั้นเป็นประเด็นปลีกย่อยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ “กมธ.” รอการลงมติ หาใช่การทบทวนเนื้อหาตามที่มี “กมธ.” เสียงข้างน้อย ได้สงวนความเห็นเอาไว้ เพราะฟาก “กมธ.เสียงข้างมาก” นั้น มองว่า ข้อโต้แย้งของ “กมธ.เสียงข้างน้อย” ซึ่งถูกจัดอยู่ในส่วนของ “พรรคเพื่อไทย” นั้น เป็นประเด็นที่หารือกันมาหลายครั้งและมีรายละเอียดที่กมธ. ลงมติจนเป็นข้อสรุปไปไกล ไม่อาจย้อนมาเริ่มต้นนับหนึ่งได้อีก
สัญญาณของเรื่อง คล้ายกับการเร่งการประชุมเพื่อปิดจ็อบให้ทัน ภายใต้กรอบเวลาเดือนพ.ย. และตามไทม์ไลน์ “ยุบสภา” ที่ข้อตกลงทางการเมือง ระหว่าง “พรรคประชาชน” กับ “พรรคภูมิใจไทย” กำหนดไว้ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อปูทางไปสู่ กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นต้องทำให้แล้วเสร็จภายในปี2568
ทำให้ปรากฏร่องรอยความขัดแย้งที่ “นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ” สว. ฐานะกมธ.พิจารณาแก้รัฐธรรมนูญ จับสังเกตได้ว่า การพิจารณาในวาระ2 อาจจบไม่สวย และจะส่งผลต่อการลงมติวาระสาม ที่มี ห้วงต้องรอเวลา 15 วัน ซึ่งเป็นจุด “วัดใจ” ชี้ว่า ร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม ที่ทำงานมาเดือนเศษนั้น อาจเสียเวลาเปล่า
“ข้อสรุปของกมธ. เสียงข้างมาก สวนทางกับคนแปรญัตติ ที่มีจำนวนมาก ส่อว่าจะทำให้การพิจารณาวาระสอง ยืดเยื้อ ยาวนาน และเมื่อหลังจากพิจารณาวาระสองแล้วต้องพักไว้15 วัน เป็นห้วงอันตราย สังหรณ์ใจและเป็นห่วงว่าถึงที่สุดแล้ว สว. จะลงคะแนนไม่ให้ผ่านตามสัดส่วนที่รัฐธรรมนูญกำหนด” นพ.เปรมศักดิ์ สะท้อนมุมมอง
ตามกติกาของรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 นั้น กำหนดเกณฑ์ผ่านวาระสาม ของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ต้องได้เสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่ง โดยเสียงเห็นชอบนั้น ต้องมี “สส.ฝ่ายค้าน" 20% ปัจจุบัน ตามการแบ่งสัดส่วนของ สำนักประชุม สภาฯ พบว่า ฝ่ายค้านมีจำนวนทั้งสิ้น 226 เสียง (เว้นพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชาติ ที่มีสส.ดำรงตำแหน่งประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ) ดังนั้นเกณฑ์ 20% จะต้องได้เสียง 46 เสียงขึ้นไป ซึ่งคาดว่าไม่เป็นปัญหา และ “สว.” ต้องลงมติเห็นชอบ 1 ใน 3 หรือ 67 เสียง
ร่องรอยของเรื่องนี้ เชื่อได้ว่ามาจากเหตุปัจจัยทางการเมือง ที่ 2 พรรคใหญ่ และ 1 พรรคกำลังใหญ่ ใช้ “รัฐธรรมนูญ” เป็นเกมเพื่อประโยชน์ทางการเมือง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เจตจำนงของประชาชน ต่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือ การให้ประชาชนมีส่วนร่วมทำเนื้อหา แม้ฝันไกล ไปไม่ถึง ด้วยเหตุ “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ” ที่ขวางให้มี “ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ” มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
ทว่าสิ่งที่ “พรรคเพื่อไทย” ออกแอคชั่นคือ จี้ไปที่จุดอ่อน ของร่างแก้รัฐธรรมนูญ ฉบับ “ส้ม-น้ำเงิน” ตรงที่ “ประชาชนไร้สิทธิกลั่นกรองผู้ร่างรัฐธรรมนูญ” และจุดที่เขียนให้มี “สูตร 20 หยิบ 1” ให้ “รัฐสภา” รวมกลุ่ม 20 คน จัดตั้งผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งถูกขยี้ต่อว่า อาจนำไปสู่การได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ “รัฐสภาเสียงข้างมากลากไป” ไม่ใช่ “รัฐธรรมนูญที่ประชาชนเป็นผู้กำหนด”
สิ่งที่ “ชูศักดิ์ ศิรินิล” สส.มือกฎหมายของเพื่อไทย ฐานะกมธ. ย้ำชัดเจนว่า “ผมตะขิดตะขวงใจ ว่าร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้มาจากประชาชน เพราะประชาชนไม่มีส่วนร่วมใดๆ”
นอกจากนั้นหากจำกันได้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คีย์แมนของเพื่อไทย “ชลน่าน ศรีแก้ว” ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “หากเนื้อหาของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถนำไปสู่ความคาดหวังได้ โดยเฉพาะที่มาของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ที่หนีไม่พ้นการครอบงำจากเสียงข้างมากที่เป็นสีใดสีหนึ่ง ซึ่งทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญไม่ได้ดีไปกว่ารัฐธรรมนูญ 2560 จึงเป็นความชอบธรรมที่พรรคเพื่อไทยจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม ในวาระสองแล้วเสร็จ”
นัยหนึ่งที่จับสัญญาณได้ คือ เพื่อให้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจยุบสภา ซึ่งจะส่งผลถึงการฉีกข้อตกลงทางการเมือง ระหว่าง "ส้ม-น้ำเงิน” และ ล้มกระดานรัฐธรรมนูญ “สีส้ม” ที่พวกเขาวางหมากที่นำไปสู่การแทรกตัวเข้าไปสู่กระดานอำนาจของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
หากเป็นไปตามนี้ เท่ากับว่า “พรรคเพื่อไทย” จะมีประเด็นที่กุมไปหาเสียงได้ ทั้งความไม่จริงใจของ “พรรคภูมิใจไทย” ต่อการแก้รัฐธรรมนูญ ขณะที่ “สีส้ม” มีประเด็นกระแทกใจ ที่อาจนำไปสู่การลดศรัทธาของ “ด้อมส้ม” ในฝั่งที่ฝันอยากให้โละรัฐธรรมนูญมรดกบาปของ “คสช.” ได้
ทว่าเรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะเป็นแบบไหน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ถูกมองเป็นเกมสามเส้าของ 3 พรรคการเมือง
กับเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะถูก “ฝ่ายการเมือง” ดึงไปทางไหน สิ่งที่ “รัฐบาล-อนุทิน” หนีไม่ออก คือ ในการเลือกตั้ง สส.ปี 2569 คำถามประชามติ ส่วนแรก ว่า “ประชาชนเห็นด้วยต่อการมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่” ต้องเกิดขึ้น เพื่อพิสูจน์ความจริงใจ
ขณะที่คำถามประชามติ ส่วนสอง ว่าด้วยวิธีการจะทำอย่างไรนั้น นาทีนี้ยังต้องรอลุ้น ซึ่งมีจังหวะที่ต้องพิจารณาเป็นสัญญาณ คือ ห้วง 10-11 ธ.ค. ของการเปิดประชุมสภาฯ วิสามัญ ว่า มติสุดท้ายของรัฐสภาจะเป็นอย่างไร
หากเวทีนี้พิสูจน์ชัดเจนว่า แต่ละฝ่ายยันเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง สุดท้ายภาพล้มกระดานแก้รัฐธรรมนูญด้วยน้ำมือของฝ่ายการเมืองจะเกิดขึ้นอย่างแน่แท้







