‘รัฐบาล’ ตั้ง ศูนย์ฯ ปฏิบัติการฉุกเฉิน ‘น้ำท่วมหาดใหญ่’ ผู้พันเบิร์ด โฆษก

“รัฐบาล” ตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย” บูรณาการข้อมูลทั้งหมด ลดซ้ำซ้อน ช่วย ปชช. รวดเร็ว มอบ “ผู้พันเบิร์ด” ทำหน้าที่ โฆษก
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี แถลงเปิด ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาล โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จังหวัดสงขลา พร้อมทั้งได้แต่งตั้งให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้บัญชาการสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดสงขลา(น้ำท่วมหาดใหญ่) ขณะเดียวกันที่ทำเนียบรัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัยขึ้น โดยมอบหมายให้ตนเป็นผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย นางสาวไตรศุลี เป็นเลขานุการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย รวมทั้งมีนายสิริพงศ์ และพลโท วันชนะ สวัสดี เป็นโฆษกประจำศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย
โดยมีคณะทำงานจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงหน่วยงานจากทุกภาคส่วนเข้ามาบูรณาการร่วมกัน จุดประสงค์หลักของศูนย์นี้ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางบูรณาการข้อมูลทั้งหมด ทั้งในส่วนของการรับเรื่องร้องทุกข์จากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ประสบภัย โดยได้กำหนดหมายเลขประสานงานคือ 1784 และหมายเลข 1111 รวมถึงช่องทางเพจข่าวสารต่าง ๆ ของภาครัฐ สามารถส่งคำขอความช่วยเหลือผ่านช่องทางเหล่านี้ได้ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะถูกรวบรวมและคัดกรองที่ศูนย์ปฏิบัติการฯ แห่งนี้
โดยศูนย์ปฏิบัติการฯ จะคัดกรองข้อมูล แบ่งกลุ่มผู้ประสบภัยเป็นกรณีเร่งด่วนตามระดับความรุนแรง โดยในส่วนของเคสสีแดง คือผู้ที่มีความเสี่ยงอันตรายสูง อยู่ในสถานการณ์รุนแรงและวิกฤติ ต้องได้รับความช่วยเหลือด่วน ส่วนเคสสีเหลือง คือผู้ที่ยังอาศัยอยู่ภายในบ้านเรือน โดยเฉพาะบ้านสองชั้นที่สามารถขึ้นไปพักอาศัยชั้นบนได้ แต่ประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร น้ำดื่ม หรือทรัพยากรที่จำเป็น
พร้อมกันนี้ ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย จะประสานงานกับศูนย์ส่วนหน้าสงขลา ซึ่งมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้บัญชาการ โดยจะบริหารสถานการณ์จริงในพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานราชการต่างๆ ซึ่งขณะนี้ หน่วยงานภาครัฐได้ลงพื้นที่ในจังหวัดสงขลาครบถ้วนแล้ว ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ได้ระดมสรรพกำลังทุกด้าน ทั้งเฮลิคอปเตอร์ เครื่องบิน เรือ และกำลังพล ลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชน ทั้งการอพยพผู้ที่อยู่ด้านใน และการลำเลียงสิ่งของจำเป็นเข้าไปให้ผู้ที่ยังติดค้างอยู่
ในด้านการบริหารพื้นที่ ผู้บัญชาการส่วนหน้าจะจัดแบ่งเคสตามหมู่บ้านหรือตำบล และประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงฝ่ายปกครอง เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อรวบรวมและตรวจสอบความต้องการของแต่ละจุด จากนั้นจะเลือกวิธีปฏิบัติที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการใช้เรือ รถ หรือเฮลิคอปเตอร์ เพื่อเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ที่แตกต่างกัน เช่น พื้นที่ที่รถเข้าได้ พื้นที่ที่ต้องใช้เรือ หรือพื้นที่ที่จำเป็นต้องใช้เฮลิคอปเตอร์เพื่อส่งอาหารและสิ่งจำเป็นให้ถึงมือประชาชน
สำหรับสถานพยาบาล นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้กำชับเป็นพิเศษ โดยเฉพาะโรงพยาบาลหาดใหญ่ ซึ่งกำลังเผชิญสถานการณ์วิกฤติอยู่ขณะนี้ โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคพยายามทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้โรงพยาบาลขาดไฟฟ้า เพื่อให้สามารถดูแลรักษาผู้ป่วยได้มากที่สุด แม้อาจไม่สามารถให้บริการได้เต็มรูปแบบเหมือนภาวะปกติ แต่ต้องพยายามรักษาชีวิตผู้ป่วยให้ดีที่สุด ทั้งนี้ หากมีเคสผู้ป่วยที่ไม่สามารถรักษาต่อในโรงพยาบาลหาดใหญ่ได้ จำเป็นต้องอพยพออกจากพื้นที่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดจะเป็นผู้พิจารณาตัดสินใจในพื้นที่ส่วนหน้า และดำเนินการอพยพผู้ป่วยเป็นรายกรณีไป
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากมีการประกาศจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฯ แล้ว อาจมีข้อกังวลใจจากภาคประชาชนว่า หากมีการรวบรวมและคัดกรองข้อมูลจำนวนมาก อาจทำให้เกิดความล่าช้านั้น การดำเนินงานในพื้นที่ยังคงดำเนินไปตามปกติ โดยมีการปฏิบัติการตามโครงสร้างในระดับหมู่บ้าน ตำบล และจังหวัดอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พบในขณะนี้คือ ข้อมูลจากประชาชนเข้ามาจากหลายช่องทาง ทั้งช่องทางที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ดังนั้น การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฯ แห่งนี้จึงมีเป้าหมายเพื่อรวบรวมข้อมูลให้เป็นระบบ ลดความซ้ำซ้อน และเร่งรัดให้การช่วยเหลือสามารถส่งต่อไปถึงพี่น้องประชาชนได้อย่างรวดเร็วและตรงจุดมากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้น การเข้ามาช่วยเหลือของจิตอาสาที่จะเพิ่มเข้ามา หากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี จะทำให้ทรัพยากรถูกจัดส่งอย่างไม่ทั่วถึง ดังนั้น ศูนย์ปฏิบัติการฯ แห่งนี้จะบริหารจัดการทรัพยากรให้ทั่วถึง โดยเมื่อสถานการณ์น้ำในพื้นที่ดีขึ้น ศูนย์ปฏิบัติการฯ ก็จะมีหน้าที่ในการบริหารจัดการทรัพยากรข้อมูลในกรณีที่มีการช่วยเหลือในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงสิ่งของในแต่ละศูนย์อพยพ อีกทั้ง ศูนย์ปฏิบัติการฯ จะเพิ่มความรวดเร็วในการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ด้วย







