จับตาเกมวัดใจพรรคส้ม ค้ำรัฐบาลรักษาข้อตกลง?

พลัน “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ออกมาส่งสัญญาณยุบสภาฯ วันที่ 12 ธันวาคม 2568 นักวิเคราะห์การเมืองหลายสำนักก็เชื่อเช่นกันว่า
นี่อาจไม่ใช่ คำขู่ แต่เป็นทางออกแก้ปัญหาการเมืองที่เตรียมไว้ล่วงหน้านั่นเอง
“อนุทิน” ให้เหตุผลของการ “ยุบสภา” ว่า เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย หากมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ว่าจะตอบโต้การอภิปรายของฝ่ายค้านดีแค่ไหน ก็ไม่มีทางชนะ
ส่วนเรื่องข้อตกลงที่ทำไว้กับ พรรคประชาชน (ปชน.) ที่จะ ต้องมีการริเริ่มแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนนำไปสู่ลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น จะโทษตัวเองและพรรคภูมิใจไทยไม่ได้ ก็ต้องไปโทษฝ่ายที่ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งเกมนี้ก็คือพรรคเพื่อไทย
ที่น่าทำความเข้าใจก็คือ ทำไมต้องเป็นวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ก็เพราะเป็นวันเปิดสมัยประชุมสามัญประจำปีของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งหากจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลหรือทั้งคณะ ก็ต้องทำช่วงประชุมสภาฯ ขณะเดียวกัน “นายกรัฐมนตรี” จะยุบสภาหนีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ได้ ดังนั้น หากจะมีการ “ยุบสภา” ก็ต้องยุบก่อนที่ประธานรัฐสภา จะบรรจุวาระ นั่นเอง
ที่น่าสนใจไปกว่านั้น หากนายกรัฐมนตรี ไม่ยุบสภาก่อน และยอมให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลหรือทั้งคณะ เกิดขึ้น ถ้าเกิดแพ้การลงมติขึ้นมา ก็เท่ากับถูกน็อคกลางสภา
ทั้งนี้ไม่เพียง รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 151 วรรคสี่ ระบุว่า มติ “ไม่ไว้วางใจ” ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของ ส.ส. เท่าที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร กรณีมี ส.ส. ครบสภา 500 คน ต้องได้เสียง ส.ส. โหวตไม่ไว้วางใจตั้งแต่ 251 เสียง แต่หากจำนวน ส.ส.ในสภาลดลง จำนวนคะแนนเสียงโหวตก็จะแปรผันตามจำนวน ส.ส. เช่น หาก ส.ส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ มี 494 คน ต้องใช้เสียงโหวตไม่ไว้วางใจตั้งแต่ 248 เสียง
หากแต่ กรณีที่สภาผู้แทนฯมีมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่ง รัฐมนตรีรายนั้นก็จะสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 170 (3) ซึ่งรัฐบาลจะต้องปรับ ครม.ใหม่ แต่หากผู้ที่ได้รับเสียงโหวต “ไม่ไว้วางใจ” คือ นายกรัฐมนตรี จะส่งผลให้ ครม. พ้นตำแหน่งยกคณะ สภาผู้แทนราษฎรจะต้องเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ และมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ต่อไป
อาจด้วยเหตุนี้ ที่พรรคเพื่อไทย ก็อาจตั้งความหวังเอาไว้เหมือนกันว่า หาก “อนุทิน” แพ้ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็อาจมีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ อาจทำให้ “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ของพรรคเพื่อไทยที่เหลืออยู่ คือ ชัยเกษม นิติสิริ มีโอกาสได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎร ก็เป็นได้
แต่สัญญาณที่ส่งจาก “อนุทิน” เวลานี้คือ จะไม่ยอมให้มีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลหรือทั้งคณะ เพราะรัฐบาลเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่พรรคประชาชน ยื่นเงื่อนไขข้อตกลง ให้มาเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ เพื่อยุบสภาภายใน 4 เดือน หลังจากดำเนินการเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ และจัดให้มีการลงประชามติเพื่อเห็นชอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันเลือกตั้งทั่วไปส.ส.ด้วย
“จะไม่ยอมถูกด่าฟรี” ยังจำประโยคนี้ได้หรือไม่ “อนุทิน” ส่งสัญญาณยุบสภามาก่อนหน้านี้ ในช่วงที่เริ่มมีกระแสข่าวพรรคเพื่อไทยเตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
ยิ่งกว่านั้น การแพ้โหวตลงมติในสภาฯของรัฐบาลอนุทิน ย่อมไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอนในทางการเมืองช่วงเลือกตั้ง ทั้งยังจะถูกคู่แข่งนำมาขยายผลโจมตีในพื้นที่หาเสียงเป็นว่าเล่น ซึ่งเรื่องนี้ “กุนซือใหญ่” พรรคภูมิใจไทยอ่านเกมทะลุอยู่แล้ว
ขณะที่พรรคประชาชน อาจเป็นพรรคที่ได้รับผลกระทบสูงสุด หาก “อนุทิน” ยุบสภา เพราะว่า ข้อตกลงสำคัญในการดำเนินการเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนยุบสภา จะต้องถูกล้มกระดานตามไปด้วย
นั่นเท่ากับว่า การลงทุนลงแรงสนับสนุนให้ “อนุทิน” เป็นนายกรัฐมนตรี ของพรรคประชาชน โดยไม่เข้าไปยุ่งกับรัฐบาล เพียงเพราะหวังว่า ข้อตกลงเรื่องริเริ่มดำเนินการเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนยุบสภาภายใน 4 เดือน จะเป็นผลสำเร็จ แต่กลับได้มาแค่ “ยุบสภา” ที่เร็วกว่ากำหนดเท่านั้น ถือว่า ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงในทางการเมือง และยุทธศาสตร์การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
ความจริง พรรคประชาชน ยังสามารถต่อรองกับ “อนุทิน” และพรรคภูมิใจไทยได้ หากประกาศออกมาอย่างชัดเจนว่า พร้อมโหวตไว้วางใจให้กับรัฐมนตรีรายบุคคลหรือทั้งคณะ เพื่อซื้อเวลาให้รัฐบาลอยู่ต่อเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จตามข้อตกลง เพียงแต่ต้องแลกกับราคาที่ต้องจ่ายในการถูกโจมตีและดิสเครดิตทางการเมือง กรณีฝ่ายค้าน แต่ทำตัวเป็น “ฝ่ายค้ำ”
ประเด็น จึงอยู่ที่ว่า พรรคประชาชน พร้อมที่จะเดินหน้าจนสุดซอยเรื่องแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่
ที่สำคัญ หาก “อนุทิน” ชิงยุบสภา ในวันที่ 12 ธันวาคม จริง ในทางการเมืองพรรคไหนได้เปรียบ-เสียเปรียบนั้น เป็นอีกประเด็นที่น่าคิด
เริ่มจากพรรคภูมิใจไทย มีหลายประเด็นที่น่าวิเคราะห์ นับแต่มีผลกระทบน้อยที่สุด ยังเป็นรัฐบาลรักษาการ มี “พลังดูด” บ้านใหญ่เข้าพรรคอย่างต่อเนื่อง
ด้านโยบายก็ไม่ธรรมดา ถือว่า เข้าตาประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งพลัส ที่เฟสหนึ่งกำลังใช้อยู่ ก็ประกาศให้เฟสสอง เป็นของขวัญปีใหม่กับประชาชนแล้ว
นโยบายความมั่นคง แก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ก็ถือว่า เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ระหว่างรัฐบาล กองทัพ และประชาชน แม้จะถูกมองจากพรรคส้มว่า อิงกระแส “ชาตินิยม” เกินไปก็ตาม
ขณะเดียวกัน ยังมีรัฐมนตรีในรัฐบาลที่โดดเด่น อย่าง เอกนิติ นิติทัณประภาศ รองนายกฯและรมว.คลัง และ “คุณแต๋ม” ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ที่กำลังสร้างผลงานกอบกู้เศรษฐกิจเดินหน้าเจรจาการค้า สินค้าเกษตร และอื่นๆ เพื่อหารายได้เข้าประเทศอย่างจริงจังและได้ผลในเวลาอันสั้น
และที่เกษตรกรรายย่อยจับต้องได้อยู่ในเวลานี้ จากการเจรจาการค้าข้าวก็คือ ราคาข้าวเปลือกช่วงต้นฤดูกาลที่ปรับขึ้นอย่างน่าพอใจ ต่างจากหลายรัฐบาลที่ผ่านมา จนรัฐบาลสามารถอวดอ้างได้
นอกจากนี้ การพลิกโฉมหน้าครั้งใหญ่ของพรรคภูมิใจไทย ก็คือ การดึงบุคคลที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง และพิสูจน์ได้ มาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
กรณี “อนุทิน” เปิดเผยแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกสองคนของพรรคภูมิใจไทย นอกจากตัวเอง คือ เอกนิติ นิติทัณประภาศ รองนายกฯและรมว.คลัง และ “คุณแต๋ม” ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์
ล่าสุด พรรคภูมิใจไทย ยังมีข่าวว่า พรรคการเมืองบาง พร้อม บ้านใหญ่ภาคกลางที่จะหลอมรวมเป็นเลือดสีน้ำเงินด้วย ก็ยิ่งทำให้เห็นว่า โอกาสที่จะเป็นพรรคใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งหน้ามีสูง จึงไม่แปลกที่ “อนุทิน” ค่อนข้างมั่นใจในการยุบสภาเร็ว
พรรคเพื่อไทย ถ้ามองในมุมที่ได้เปรียบ และเห็นชัด คือ การเตรียมพร้อมในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง หลังจากมีการประกาศรายชื่อไปแล้วหลายระลอก แทบทุกภาค
ขณะเดียวกัน แม้ก่อนหน้านี้จะมีภาพเลือดไหลออกอยู่บ้าง หลังจาก “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมถึงกรณีทักษิณ ชินวัตร ถูกตัดสินให้กลับเข้าคุก คดีป่วยทิพย์ชั้น 14 แต่วันนี้ได้บ้านใหญ่ย่านสมุทรปราการมาร่วมงานการเมือง ก็ถือว่า ไม่ธรรมดา
ที่น่าสนใจ มีนักวิเคราะห์บางคนให้น้ำหนักไปที่ การทุ่มสุดตัวของ “ทักษิณ” เพื่อทวงความยิ่งใหญ่ สร้างอำนาจต่อรองกับคดีที่เป็นมรสุมชีวิตอย่างหนัก ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจะต้องได้ส.ส.ไม่น้อยกว่าเดิม หรือ น้อยกว่าเดิมไม่มาก นี่คือ สิ่งที่น่าจับตามองเช่นกัน
มาถึงพรรคประชาชน พรรคที่ยึดกระแสพรรคมากกว่ากระแสบุคคล และใช้อุดมการณ์พรรคในการขับเคลื่อนทางการเมืองเป็นสำคัญ
พรรคนี้ประมาทไม่ได้ หลังจากประกาศเคมเปญ “มีเรา ไม่มีเทา” ออกมา ชนิดโดนใจใครหลายคน เนื่องจากสอดรับกับแนวทางสร้างการเมืองใหม่ของอดีตพรรคอนาคตใหม่ และอดีตพรรคก้าวไกล
แคมเปญนี้ ดูผิวเผินเหมือนต้องการปราบปรามทำลายล้าง “ศูนย์กลางสแกมเมอร์” ที่หลอกลวงคนไทยจนได้รับความเดือดร้อนอย่างสูง หากแต่ความจริงเป้าหมายอยู่ที่ ทุนเทา นักการเมืองเทา ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์ โดยเอาไทยเป็นแหล่งฟอกเงิน และนักการเมืองบางคนใช้เงินเทาฟอกตัวทางการเมือง และสร้างอำนาจทางการเมือง ซึ่งพอเปิดตัวออกมา ก็ได้รับการขานรับจากคนรุ่นใหม่ทันควัน
เพราะฉะนั้น สิ่งที่พรรคประชาชน จะปลุกกระแสให้แรงที่สุดในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็คือ เรื่องนักการเมืองสีเทา ที่แฝงตัวอยู่ในการเมืองไทย ที่นับวันจะได้เข้าสู่อำนาจทางการเมืองด้วยเงินเทา และใช้อำนาจให้การช่วยเหลือ ทุนเทา และแก๊งสแกมเมอร์ จนยากที่จะปราบปรามให้สินซากได้
แต่พรรคประชาชน ที่ดูเหมือนได้เปรียบพรรคอื่น ตรงที่ไม่มีบาดแผลสีเทา แต่ขณะเดียวกัน กรรมเก่ากรณีแก้ไข ป.อาญา ม.112 ของอดีตพรรคก้าวไกล ก็ถือว่าจ่อคอหอย นั่นคือ คดี 44 ส.ส.พรรคก้าวไกล ร่วมลงชื่อเสนอแก้ไข ม.112 ที่อยู่ในชั้น ป.ป.ช.พิจารณา ข้อหาผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่
โดยในจำนวน 44 ส.ส. มีถึง 25 คน ที่เป็นส.ส.พรรคประชาชนในปัจจุบัน ในจำนวนนี้ แบ่งเป็น ส.ส. เขต 8 ราย ได้แก่ 1. นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส. กทม. 2. นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส. กทม. 3. นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส. กทม. (ในช่วงเกิดเหตุเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ) 4. น.ส. ญาณธิชา บัวเผื่อน ส.ส. จันทบุรี 5. นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส. ฉะเชิงเทรา 6. นายจรัส คุ้มไข่น้ำ ส.ส. ชลบุรี 7. นายศักดินัย นุ่มหนู ส.ส. ตราด 8. นายวุฒินันท์ บุญชู ส.ส. สมุทรปราการ
และส.ส.บัญชีรายชื่อ 17 ราย ได้แก่ 1. นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (ปัจจุบันเป็นหัวหน้าพรรค ปชน. ช่วงเกิดเหตุเป็น ส.ส. กทม.) 2. น.ส. ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ปชน. 3. นายนิติพล ผิวเหมาะ 4. นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) 5. นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ 6. นายณัฐวุฒิ บัวประทุม 7. นายวรภพ วิริยะโรจน์ 8. นายคำพอง เทพาคำ 9. นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ 10. นายองค์การ ชัยบุตร 11. นายมานพ คีรีภูวดล 12. นายวาโย อัศวรุ่งเรือง 13. น.ส.วรรณวิภา ไม้สน 14. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร 15. นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ 16. นายรังสิมันต์ โรม 17. นายสุรวาท ทองบุ
อะไรไม่สำคัญเท่ากับ “เท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค เป็นตัวเต็ง 1 ใน 3 คน ที่จะถูกเสนอเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคประชาชนด้วย ถ้าถูกป.ป.ช.ชี้มูลความผิดขึ้นมา และส่งศาลฎีกาพิจารณาประทับรับฟ้อง อะไรจะเกิดขึ้น และไม่เพียงแต่ “เท้ง” เท่านั้น ดาวเด่นของพรรคหลายคนก็มีชื่ออยู่ด้วย
เพราะอย่าลืม “ป.ป.ช.” เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า คดีจะรู้ผลอย่างช้า ไม่เกินเดือนธันวาคม 2568
นี่คือสิ่งที่พรรคประชาชนจะต้องเตรียมรับมือ และไม่ถือว่า ง่าย หากมีการยุบสภาในวันที่ 12 ธันวาคมจริง
เหนืออื่นใด คำตอบสุดท้ายว่า “อนุทิน” จะยุบสภาในวันที่ 12 ธันวาคมหรือไม่ แม้ว่าด้านหนึ่งอยู่ที่พรรคเพื่อไทยจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ อีกด้านที่สำคัญไม่แพ้กัน คือพรรคประชาชน จะยอมหรือไม่ ที่จะให้โอกาสเข้าใกล้การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับสูญเปล่า โดยใช้เหตุผลทางยุทธศาสตร์กล่าวอ้างในการโหวตไว้วางใจรัฐบาลที่อาจทำให้เสียหายน้อยที่สุด เป็นเรื่องที่น่าจับตามองจนวินาทีสุดท้าย







